Thursday, March 26, 2009

บทความ คุณอาคม ซิดนีย์ ตอนที่ 5

วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐

การเมืองครอบงำการศึกษา

โดย อาคม ซิดนีย์

http://www.arkomsydney.com/Article2.htm


การโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลหลายสาขาอาชีพช่วยกันปลุกปั่นกระแสด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ จนกลายเป็นกระแสต่อต้านระบบทักษิณ การสร้างภาพและโฆษณาชวนเชื่อโดยมีจุดมุ่งหมายให้สังคมตั้งข้อรังเกียจ และเกิดความกลัวเกรงระบบดังกล่าวว่าเป็นการทำลายชาติ และต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งโจมตีนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย จนสุดท้าย พรรคไทยรักไทยก็มีอันต้องอวสานอันเนื่องจากคำตัดสินให้ยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคจำนวนถึง ๑๑๑ คนเป็นเวลา ๕ ปี โดย คณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหาร

การได้รับความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลหลายสาขาอาชีพในการโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ดัง ที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น หากฟังเพียงผิวเผินก็คงต้องยอมรับว่ามีความชอบธรรมพอ สมควร แต่ถ้าหากท่านผู้อ่านได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็จะพบว่ากลุ่มบุคคลที่มี ความพยายามในการโค่นล้มฯนั้นแม้จะดูว่ามาจากหลากหลายอาชีพและวงการต่างๆนั้น แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันที่ดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่งในเวลาเดียวกัน อันประกอบด้วยบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาจากคณะองคมนตรีที่มีเปรมเป็นประธานฯ

ในที่นี้ผมจะขอยกตัวอย่างขององคมนตรีและบุคคลรับใช้ใกล้ชิดที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการรักษาอำนาจอันเป็นอำนาจนอกระบบที่ฝ่าฝืนกฏหมายให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเป็นประจักษ์สักเพียงสามสี่ราย เพราะจำกัดด้วยเนื้อที่ ทั้งนี้เนื่องจากใน แต่ละรายที่ผมจะกล่าวถึงนี้ดำรงตำแหน่งมากมายหลายตำแหน่งและหากรวมตำแหน่งในภาคเอกชน แต่ละคนก็จะครอบครองกันหลายสิบตำแหน่ง โดยผมจะขอเริ่มจาก

ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
*
กรรมการบริหารและเลขาธิการมูลนิธิอานันทมหิดล
*
กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิพระดาบส
*
กรรมการโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
*
กรรมการโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย
*
กรรมการมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
* นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
*
นายกสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
*
อุปนายกสภามหาวิทยาลัยบูรพา

นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี
*
นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตร (รายละเอียดท่านผู้อ่านสืบค้นเพิ่มเติม)

ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา
*
นายกสภามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
*
ได้รับการยกย่องจากมูลนิธิ รัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ให้เป็นบุคคลตัวอย่างเพื่อส่งเสริม "ความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ และจงรักภักดี" ประจำปี

นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา อดีตอธิการบดีและคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ได้รับการตัดสินให้ เป็นบุคคลตัวอย่างได้รับรางวัล พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประจำปี 2539 พิธีมอบรางวัล จัดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ณ สำนักคณะกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่

นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
*
นายกสมาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยบูรพา

มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
*
นายกสภามหาวิทยาลัยบูรพา
*
อดีตเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเปรมทุกสมัย
*
มีอาชีพเขียนร่างกฏหมายให้รัฐบาลโจรในทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจ
*
ผู้คิดค้นชื่อคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ

ตำแหน่งในปัจจุบัน
*
กรรมการกฤษฎีกา
*
ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
*
ประธานคณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
*
ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน
*
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ต.ร.)
*
กรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*
รองประธานมูลนิธิรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*
กรรมการสภามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
*
กรรมการมูลนิธิส่งเสริมการศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*
กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่างประเทศและความมั่นคงของ ประเทศ
*
สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี
*
ประธานคณะผู้ประเมินภายนอกระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน)
*
ประธานคณะผู้ประเมินภายนอกระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน)
*
กรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
*
ประธานกรรมการบริหารสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตยมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
*
กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ขอแถมอีกสักคนคือนายพลากร สุวรรณรัตน์ อดีตผู้อกหักจากตำแหน่งปลัดกระทรวง มหาดไทย เปรมก็อุ้มไปอยู่บนตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ. อศบต.) ครั้นพอตำแหน่งนี้ถูกยุบในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปรมก็เสนอชื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี แล้วพอมีการยึดอำนาจแบบลูกผู้ชายทำลับหลัง และมีการปลุกผี อศบต.ขึ้นมาใหม่ด้วยอภินิหารเปรมเฒ่า นายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี น้องชายนายพลากรจึงได้ขี่ไม้เท้ากายสิทธิ์แห่งบ้านสี่เสาไปนั่งอยู่บนตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เลยทำให้มีพี่น้องในเขตพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ล้มตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวันจนนับแทบไม่ทัน

เปรมไม่เคยให้ความสนใจกับความรู้สึกของประชาชนต่อการกระทำ ที่เอาแต่ใจของตัวเองเป็นใหญ่ สิ่งที่คิดและต้องการล้วนเป็นความถูกต้อง ที่ใครก็ตามไม่อาจคัดค้านหรือวิจารณ์ได้ ประเทศไทยในวันนี้จึงมีอันต้องฉิบหายย่อยยับอับปางอย่างที่เห็น การ ส่งคนของตัวเองเข้าไปมีบทบาทอยู่ในวงการศึกษาตามสถาบันต่างๆที่ได้กล่าวไว้ข้าง ต้น ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดนะครับว่าอาคม ซิดนี่ย์เพี้ยน และคงมีคำถามว่ามันเกี่ยวอะไร กับการต่อสู้และช่วงชิงอำนาจกันเยู่ในเวลานี้

ถ้าหากเราย้อนอดีตดูก็จะพบว่าประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญ เป็นอย่างยิ่งที่นอกจากสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จแล้ว ยังมีคุณูประการต่อการที่ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม สถาบันแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นโรงเรียนสอนกฏหมาย ที่ทำให้ท่านปรีดี พนมยงค์ ดื่มด่ำกับความเป็นเสรีชน จนสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส และทำให้เกิดความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ จึงได้กลับมาสู่มาตุภูมิ เข้ารับราชการอยู่ที่กระทรวงธรรมการ พร้อมกับการไปสอนวิชากฏหมายและการเมืองให้กับสถาบัน ที่เคยเรียนในอดีต ทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในเวลาอันรวดเร็วไม่ช้าท่านปรีดีก็มีลูกศิษย์ลูกหากระจายไปทั่วประเทศ พร้อมกับมีการเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนกฏหมาย มาเป็น ธรรมศาสตร์และการเมืองและกลายมาเป็นมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ในวันนี้

การที่ท่านปรีดีมีลูกศิษย์ลูกหากระจายไปทั่วประเทศ อันเกิดจากสอนและเผยแพร่วิชา กฏหมายสมัยใหม่ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยในเวลานั้น จึงเป็นที่นิยมอย่างสูงสำหรับหนุ่มสาวที่มีความคิดก้าวหน้า จนเกิดเป็นกระ แสเสรีชน จนสามารถพัฒนามาเป็นขบวนการเสรีไทย ที่ทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงครามดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้แล้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมีประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทอย่างสูงในการโค่นล้มระ บอบเผด็จการทหารยุคสองจอมพลผู้ยิ่งใหญ่คือถนอม กิติขจรและประภาส จารุเสถียร ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖

สถาบันการศึกษามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ทางการเมืองนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เมื่อครั้งที่ท่านปรีดีมีบทบาทสูงยิ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งผลให้จอมพลป. พิบูลสงคราม ที่มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้นยังต้องหันมาให้ความสนใจสถาบันการศึกษา ด้วย การเข้าไปดำรงตำแหน่งอธิการบดีในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ดังนั้นท่านผู้อ่านจึง อย่าได้แปลกใจว่าทำไมตำแหน่งที่สำคัญและมีอำนาจในการบริหารตามสถาบันต่างๆ จึงล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยบุคคลที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิด และก็อย่าได้สงสัยนะครับว่า ก่อนหน้าที่จะมีการปล้นชิงอำนาจเกิดขึ้น ทำไมสถาบันสำคัญเกือบทุกแห่งถึงได้เชิญเปรมไปปลุกระดมภายใต้ชื่อว่าบรรยายพิเศษบ้าง ปาฐกถาบ้าง และท่านผู้อ่านก็คงจะ เข้าใจแล้วจะครับว่า ทำไมจึงมีนักวิชาการและคณาจารย์ออกมาร่วมถล่มคุณทักษิณอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ทำไมจึงไม่มีนักศึกษาจากสถาบันชั้นสูงออกมาร่วมรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยกฏหมายระบุ ไว้ชัดเจนครับว่ามีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย โดย เฉพาะอย่างยิ่งมีอำนาจพิจารณาดำเนินการเพื่อทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและถอดถอนตำ แหน่งอธิการบดี

ผมว่าถึงเวลาแล้วที่นักศึกษาและปัญญาชนควรจะได้ใช้วิจารณญาณแยกแยะแล้วปลดแอกจากการถูกครอบงำให้รับรู้ข้อมูลและคำสอนที่ผิดๆจากพวกคณาจารย์ที่ขายจิต วิญญาณรับใช้เผด็จการ ด้วยการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมร่วมกับประชาชนนับแต่บัดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกแม่โดมที่เป็นต้นแบบแห่งประชาธิปไตย จะต้องเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรีท่านปรีดี บิดาแห่งประชาธิปไตย ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันเป็นศาสตร์แห่งวิชาที่ว่าด้วยความเป็นธรรม

สุดท้ายนี้ผมอยากให้บุคคลที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิดฯ ที่ชูความจงรักภักดีเพียงลมปาก ที่สวนทางกับการกระทำโดยสิ้นเชิงได้โปรดสำเหนียก และเบิกตาให้กว้าง อ่านดูข้อความข้างล่างนี้ว่า พวกท่านทั้งหลายโดยเริ่มตั้งแต่เฒ่าหัวหงอกที่ชื่อเปรมและลูกสมุนทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติที่ผิดต่อข้อกฏหมายหรือไม่ประการใด และขอให้ท่านผู้อ่านโปรดช่วยกันตรวจสอบด้วยว่า พวกมันทั้งหลายที่อ้างมาโดยตลอดว่าจงรักภักดีนั้นได้ปฏิบัติตนตรงตามที่ได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือไม่อย่างไร

คณะองคมนตรี

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหา กษัตริย์ ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง มีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ต้องเป็นพระราชกรณียกิจที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยประธานองคมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีหรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

วัตถุประสงค์ของมูลนิธิชัยพัฒนา

ประการแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราช ดำริและโครงการพัฒนาอื่น ๆ โดยเน้นกิจกรรมเพื่อการพัฒนาที่ไม่ซ้ำซ้อนกับแผนงาน หรือโครงการของรัฐที่มีอยู่แล้ว แต่จะพยายามสนับสนุน ส่งเสริม และประสานงานการดำเนินงาน เพื่อให้โครงการนั้น ๆ เกิดความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในกรณีที่โครงการของรัฐอาจถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของระเบียบปฏิบัติบางประการ อันเป็นผลให้โครงการนั้นๆ ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที เช่น ในกรณีที่อาจต้องจัดซื้อที่ดินจากราษฎรบางส่วนเพื่อดำเนินการตามโครง การแห่งหนึ่ง แต่รัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจัดซื้อ หรือมิได้ตั้งงบประมาณไว้ ทำให้โครงการล่าช้า ราษฎรได้รับความเดือดร้อน กรณีเช่นนี้ มูลนิธิชัยพัฒนาจะดำเนินการช่วยเหลือตามความเหมาะสม เพื่อให้โครงการนั้นบรรลุผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ประการที่สอง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสงเคราะห์และช่วย เหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสามารถช่วยตนเอง และพึ่งตนเองได้

ประการที่สาม ดำเนินการในกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม

ประการที่สี่ ร่วมมือกับส่วนราชการ และองค์กรการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์หรือดำเนินการเพื่อเป็นการสนับสนุนสาธารณประโยชน์

ประการสุดท้าย มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ความมุ่งหวังที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชน ให้มีความสุขสำราญ ร่มเย็นถ้วนทั่วและมีความอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงและความเจริญของประทศ นั่นคือชัยชนะแห่งการพัฒนา

สุดท้ายนี้ผมคงไม่ต้องมีคำอธิบายในการกระทำของผู้มีอำนาจในเวลานี้นะครับว่าเป็น อย่างไร ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาญกันเอาเองว่า รัฐบาลเถื่อนในเวลานี้ได้ปกครองด้วยหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ กล่าวร้ายหาเรื่องและยัดเยียดข้อหาให้เขาเป็นรายวันนั้น จะเรียกได้ไหมว่าคุณธรรมและจริยธรรม แล้วคำรับประกันของเฒ่าหัวหงอกที่ว่าสุรยุทธคือคนดีที่สุดนั้นเป็นความจริงแค่ไหน ส่วนสนธิบัง และสพรั่งนั้นไม่ต้องพูด ถึงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนธิบังคงไม่อาจหนีพ้นบ่วงกรรมในเร็ววันนี้ เพราะเวลานี้หัวหน้าโจรตัวจริงกำลังให้บำเหน็จความตายแก่มัน ด้วยการเพิ่มพูนอำนาจให้อย่างล้น ฟ้า เพื่อมันจะได้ตายเร็วขึ้นและผิดอยู่คนเดียว ที่เรียกว่าตัดตอนยังไงครับท่านผู้อ่าน มันเป็นกระบวนท่าของนักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ผมเคยเห็นมาในอดีตนั่นเอง และถ้าจะ ตั้งรับกระบวนท่านี้ ผมเห็นว่ามีอยู่วิธีเดียวนั่นก็คือ เสียงการทำลายลมปานที่บันทึกใส่เทปที่อยู่ในมือคุณทักษิณ ตอนออกมาเปิดเผยว่ามีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ

บทความ คุณอาคม ซิดนีย์ ตอนที่ 4

๒๗ พ.ค. ๒๕๕๐

สัญญาณเฮือกสุดท้าย

โดย อาคม ซิดนีย์

http://www.arkomsydney.com/Article2.htm


พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีกล่าวประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติว่า การทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนานจนแทบจะกล่าวได้ว่าแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของสังคมไทย ทำให้การพัฒนาบ้านเมืองไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ตามความมุ่งหวัง รัฐบาลจึงได้ประกาศวาระแห่งชาติด้านจริยธรรมธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ก่อให้เกิดสำนึกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างยั่งยืนยาวนานสืบต่อไป จากนั้นพล.อ.เปรมกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อล้างทุจริต

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ ปฏิญาณล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชันเนื่องในวโรกาสมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม ที่ตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้าวันที่ 9 พฤษภาคม โดยมีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รัฐมนตรี ผู้นำองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ องค์กรอิสระ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ กว่า 1,500 คน เข้าร่วมในพิธี มีความว่า

ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะตั้งมั่นและ ปฏิบัติตนในหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต จะถือว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะ รวมพลังยืนหยัดต่อสู้และต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ และจะประพฤติปฏิบัติในทุกวิถี ทาง เพื่อบรรลุถึงพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อนำสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งความเป็นธรรมตลอดไป

ต้องถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และทำให้ผมต้องเขียนถึง ต้องเขียนถึงเพราะพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีที่มีฐานะเป็นผู้นำของประเทศ ประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามทุจริตโดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติด้านจริยธรรมธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐฯซึ่งมีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยืนอยู่ข้างๆ การประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในครั้งนี้มีนัยสำคัญคือต้องการ เทิดไท้องค์ราชันเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา๘๐พรรษา แต่การกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อล้างทุจริตกลับกลายเป็นเปรมเป็นผู้แสดง

ใครจะเป็นผู้แสดงในการกล่าวนำคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่มีความสำคัญที่ผมจะต้องเขียนถึง หากแต่ภาระหน้าที่บนตำแหน่งองคมนตรีคงต้องระบุให้ชัดเจนว่าเรื่องใดควรหรือไม่ควร วาระแห่งชาติอันเป็นนโยบายของรัฐบาลตามประกาศของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มีเปรมเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ "ล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน" เป็นอีกบริบทหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการมีความสำคัญและมีอำนาจเหนือรัฐฯของเปรมอย่างเป็นรูปธรรม หรือว่านายกรัฐมนตรีพล.อ.สุรยุทธ์และพล.อ.สนธิหัวหน้าคณะรัฐประหารหมดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ เพราะคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความทุจริตในกรณีครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังถูกตรวจสอบในข้อหาเรื่องงบเสื้อเกราะ และอีกหลายงบที่ส่อไปในทางทุจริตที่ถูกเรียกร้องให้มีการตรวจสอบซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

กล่าวสำหรับเปรมเองก็ใช่ว่าจะมีความชอบธรรมในการทำหน้าที่กล่าวนำถวายคำสัตย์ฯ เพราะเวลานี้ความน่าเชื่อถือทางสังคมของเปรมนั้นถือได้ว่าติดลบในสายตาของคนทั่ว ไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยึดครองบ้านหลวงเพื่ออยู่อาศัยอย่างเป็นการถาวร ใช้ไฟหลวง น้ำ หลวง รถหลวงทั้งๆที่เปรมได้เกษียณอายุราชการมายาวนานเกือบสามสิบปีแล้วก็ตาม แต่ก็ดำน้ำทำลืม โดยไม่ยอมคืนให้รัฐและที่สำคัญเวลานี้กำลังถูกเรียกร้องให้ต้องลาออกจากการเป็นประธานองคมนตรีอันสืบเนื่องจากการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ถ้าหาก คนอย่างเปรมมีคุณธรรมและจริยธรรมตามที่กล่าวอ้าง เปรมจะต้องยุติบทบาทของตัวเอง ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับงานพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสอันเป็นวันมหามงคลสมัยยิ่งต้องระมัดระวัง แต่เปรมกลับทำรุ่มร่ามเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิด ขึ้น เปรมไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลและความซื่อ สัตย์สุจริต เพราะเปรมไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ติดตัวแม้แต่ข้อเดียว

การประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตด้วยการกำหนดให้เป็น วาระแห่งชาติว่า "ล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน" ขึ้นมาอย่าง ปัจจุบันทันด่วนในขณะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมย่อมไม่อาจที่จะไม่นำมาทบทวนและพิจารณาถึงเจตนาของรัฐบาลและผู้มีอำนาจในการชัก นำว่ามีความประสงค์ต้องการอะไร จะยึดพระองค์ท่านฯเป็นเกราะป้องกันหรือจะอ้างความชอบธรรมที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติบดขยี้พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวเพราะเวลานี้มีองค์กรเถื่อนที่ถูกแต่งตั้งโดยทหารโจรทำหน้าที่จ้องเอาผิดอยู่ การยึดอำนาจด้วยการอ้างว่า เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้ต่อต้าน พ.ต.ท ทักษิณ ตั้งรัฐบาลเถื่อนขึ้นมาก็อ้างความสนานฉันท์ ขณะเดียวกันก็ตั้งกลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์และเป็นปฏิปักษ์กับคุณทักษิณกระจายออกเป็นหลายคณะมาทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อพิจารณาความผิด ไล่จิกตีไม่เว้นแม้กระทั่งลูกเมียแบบเล่นไม่เลิกตลอดระยะเวลาเก้าเดือนที่ผ่านมา

การบดขยี้เพื่อเอาผิดกับครอบครัวชินวัตรให้จนได้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส) หรือสำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดิน (สตง) ตลอดจนตุลาการรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร ที่ทหารโจรตั้งขึ้นมาแทน ศาลรัฐธรรมนูญโดยมีเจตนาต้องการดับอนาคตทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณด้วยการ ตั้งธงให้มีการตัดสินเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็น เวลาห้าปี ต่างๆเหล่านี้คงบ่งชัดถึงนโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลเถื่อนและคณะนาย ทหารโจรได้เป็นอย่างดีว่า ได้ตั้งอยู่บนหลักจริยธรรมธรรมาภิบาลดังที่พล.อ.สุรยุทธ์ได้กล่าวไว้ข้างต้นหรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมสมุนโจรอีกกลุ่มหนึ่งที่แยกไปทำหน้าที่เขียนร่าง กฏหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องโจรด้วยกัน ภายใต้ชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรม นูญ (สสร.)

ความจริงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบนั้น ได้ถูกกำหนดให้ เป็นวาระแห่งชาติของทุกรัฐบาล แต่ก็ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนจะประสบความสำเร็จ นอก จากจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว ยังกลับสร้างปัญหาฉาวโฉ่ให้เป็นเงื่อนไขของการยึดอำ นาจก็มีให้ได้เห็นกันอยู่ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จนแทบจะกล่าวได้ว่า ถ้าต้องการล้มรัฐ บาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม เงื่อนไขแห่งทุจริตนี่แหละที่สามารถล้มได้ทุกรัฐบาล เลยทีเดียว แม้รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.สุรยุทธ์เจ้าของวาทะที่ประกาศเจตนารมณ์ ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ก็มีเรื่องทุจริตจนส่อเค้าว่าจะ ไม่สามารถนำพาประเทศได้อีกต่อไปและดูเหมือนจะมีรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณที่กล้าหาญพอที่จะแก้ปัญหาทุจริตด้วยการประกาศเป็นสงครามคอรัปชั่นด้วยซ้ำไป แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การปราบปรามกำลังดำเนินไปด้วยความระทึก อำนาจต่างๆที่เป็นแรงขับเคลื่อนก็ได้ถูกคณะนายทหารโจรปล้นชิงไปเสียก่อน

ถ้าหากรัฐบาลสุรยุทธ์หรือผู้มีอำนาจมีความจริงใจและจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวจริงดังที่กล่าวอ้าง เหตุใดเนื่องในวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคมในปีนี้ จึงเลือกในสิ่งซึ่งเป็นไปได้น้อยหรือยังมองไม่เห็นความ เป็นไปได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติเพื่อเทิดพระเกียรติ์ ปัญหาใหญ่ๆอย่างน้อยสอง ปัญหาที่พระองค์ทรงกังวลพระทัยด้วยความเป็นห่วงในกรณีที่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ ชายแดนภาคใต้ และความแตกแยกของคนไทยในทุกสังคม รัฐบาลกลับมองไม่เห็น ความสำคัญ

ปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้ รัฐบาลและผู้มีอำนาจต่างรู้อยู่แก่ใจเป็น อย่างดีว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใด ต้นตอแห่งปัญหามาจากไหน เหตุใดปัญหาจึงยืดเยื้อ และดำรงอยู่ แล้วทำไมจึงบานปลายจนกลายเป็นปัญหาของคนทั้งชาติซึ่งหนักหนายิ่ง กว่าเมื่อก่อนที่จะทำการรัฐประหารยึดอำนาจเสียอีกและกำลังเข้าสู่วิกฤติการณ์ที่ไม่อาจหลีกพ้นจากการนองเลือดได้ในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นไม่ใช่เกิดจากการปกครองโดยไม่ ยึดหลักคุณธรรมที่พล่ามอยู่ทุกเมื่อดอกหรือ การกลุ้มรุมคิดร้ายทำลายแบบร่วมด้วยช่วย กันโดยไม่ยึดหลักนิติธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้มีใจรักความเป็นธรรมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงต้องออกมาร่วมชุมนุมประท้วง การใช้อำนาจบาดใหญ่สั่งปิดสื่อต่างๆเพื่อให้ประชา ชนได้รับข้อมูลข่าวสารด้านเดียวที่มีการบิดเบือนตลอดมา ก็ยิ่งสร้างศรัทธาให้คนที่มีใจ เป็นกลางเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านเพิ่มจำนวนมากขึ้น นี่ยังไม่รวมถึงการจำกัดสิทธิเสรีถาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกปฏิบัติด้วยการย่ำยีจนป่นปี้ไม่เหลือแม้ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

ภายหลังการยึดอำนาจ คณะนายทหารโจรและรัฐบาลเถื่อนประกาศชูหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล โดยเน้นความซื่อสัตย์สุจริตและจะปกครองดูแลบ้านเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยโดยยึดหลักนิติธรรม แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นความจริงก็ปรา กฏว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ จึงอย่าได้แปลกใจทำไมจึงมีกลุ่มต่อต้านเพิ่มจำนวนมากขึ้นจน นับไม่ถ้วน แทนที่ผู้กุมอำนาจเถื่อนทั้งหลายตระหนักกลับมักง่ายโยนให้เป็นความผิด ของกลุ่มอำนาจเก่า โดยกล่าวหาว่าเป็นม๊อบรับจ้างแม้กระทั่งผู้มาร่วมชุมนุมก็ถูกเหมา รวมว่าเป็นพวกที่ได้รับเศษเงินมาป่วน และเหิมเกริมถึงขนาดดูแคลนเปรียบเทียบผู้คน ที่ชุมนุมเป็นแค่หมา จะใช้อาก้ายิงเป็นตัวอย่างจากนายพลปากพล่อยนามสพรั่ง

การชุมนุมประท้วงต่อต้านเผด็จการนับวันเสียงขานรับยิ่งดังขึ้นทุกที ทั้งในและนอก ประเทศได้สร้างความกังวลใจให้กับคณะนายทหารโจรและหุ้นส่วนมากยิ่งขึ้นจนกลาย เป็นความหวาดกลัวและเกิดความระแวงในที่สุด จึงอย่าได้แปลกใจที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้รับการร้องขอจากกลุ่มคนไทยในนครลอนดอนที่ไปให้กำลังใจ ด้วยการต่อ สายให้กล่าวคำทักทายกับคนไทยในประเทศโดยผ่านวิทยุชุมชนนั้น สามารถสร้าง ความกังวลให้กับคณะนายทหารโจรทุกคนถึงกับผวาจนสะท้านสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ที่ทำให้กรมอุตุฯเข้าใจผิดคิดว่าแผ่นดินไหว

การที่รัฐบาลเถื่อนและคณะนายทหารโจรมีความหวาดหวั่นและเกรงกลัวพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวโดยถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง ที่ถึงกับต้องทุ่มเทสรรพกำลังทั้งกองทัพ และหน่วยงานราชการในสังกัด ทั้งในและนอกประเทศตลอดจนองค์กรต่างๆเพื่อเข่นฆ่า แต่กลับละเลยปัญหาความรุนแรงในเขตพื้นที่ภาคใต้ ปล่อยให้คนไทยผู้บริสุทธิและเจ้า หน้าที่แห่งรัฐถูกฆ่าเป็นรายวันต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับการแก้ไข ก็เป็นอีก เรื่องที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศไม่น้อยไปกว่าการไล่ล่าฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ

ดังที่ได้กล่าวมานี้ ถ้าหากรัฐบาลเถื่อนและคณะนายทหารโจรมีความจงรักภักดีจริงดังที่ กล่าวอ้าง จะต้องไม่ทำตัวอยู่ใต้อาณัติและให้ความสำคัญกับคนชื่อเปรมที่กำลังถูกต่อ ต้านจากคนทั้งประเทศอย่างเด็ดขาด และในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคมในปีนี้ หากรัฐบาลต้องการจัดเฉลิมฉลองงานพระราชพิธีเพื่อ เทิดพระเกียรติยศ ก็สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษที่จะเลือกทำในสิ่งที่เป็น ไปได้และพระองค์ท่านทรงห่วงใยนั่นก็คือ รวมใจคนไทยให้เกิดความสมานฉันท์เพื่อ ถวายเป็นพระราชกุศลหรือ ล้างศัตรูให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน

ประเทศไทยที่น่าสงสาร ๗๕ ปีแห่งการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยดูเหมือนทุกวันนี้ ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ โดยยังไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร จึงปล่อยให้กลุ่มบุคคล ไม่กี่คนมามีอำนาจเหนืออธิปไตยอันเป็นอำนาจปวงชนที่เรียกว่าประชาธิปไตยได้ นั่นก็ สืบเนื่องจากการที่ไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นความรู้ที่เป็นเนื้อแท้ของคำ ว่าประชาธิปไตยนั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายที่เราเคยได้รับชัยชนะในการต่อสู้เพื่อประ ชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และมีกลุ่มนักศึกษาปัญญาชน ออกไปเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยตามชนบท แต่พวกเขาเหล่านั้นก็มีอัน ต้องถูกทำลายในเวลาต่อมา ด้วยข้อหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ภายใต้นโยบาย ขวาพิฆาตซ้ายในกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ (รายละเอียดหาอ่านได้จากบทความตอนที่ ๕ ยุทธการเราพร้อมแล้ว)

ครั้นพอหมดยุคคอมมิวนิสต์และประเทศไทยบังเอิญโชคดีที่ได้รัฐบาลที่มีความสามารถ ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำพาประเทศชาติพ้นสู้วิกฤติเศษรฐกิจ แล้วมีแนวโน้มไปสู่ความเจริญอย่างเห็นได้ชัด และพอที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนคน ส่วนใหญ่ได้ แต่ก็มีอันต้องถูกทำลายจากกลุ่มบุคคลที่ผมเรียกว่ารับใช้ใกล้ชิดฯ กลุ่ม บุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯอย่างน้อยสี่คนที่ผมเคยนำเสนอผ่านบทความของผมไปแล้ว อัน ประกอบด้วย เปรม ติณสูลานนท์ สุเมธ ตันติเวชกุล จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และ น.พ.เกษม วัฒนชัย

เปรมเปิดประเด็นเข่นฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยยกอ้างหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิ บาลและความซื่อสัตย์สุจริตพร้อมกับชูสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะป้องกันและ ทำลายอำนาจรัฐด้วยการปลุกปั่นให้กองทัพไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุผลว่า รัฐบาลเป็นเพียงจ๊อกกี้มาแล้วก็ไป ทหารต้องเป็นม้าของพระราชาจึง เป็นการเปิดโอกาสให้กับนายทหารที่บ้าอำนาจและอยากเจริญเติบโตด้วยเส้นทางลัด ต่างแย่งกันประกาศตัวว่าเป็นทหารของพระราชา ที่โด่งดังคงไม่มีใครเกินสพรั่งและ บรรณวิทย์ที่กล้าถึงขนาดประกาศชนกับรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่อ้อมค้อม ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจที่ทำไมปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อันเป็นศัตรู ตัวฉกาจของชาติในเวลานี้จึงไม่ได้รับความสนใจจากกองทัพ นั่นไม่ใช่เป็นเพราะทหาร ของชาติในเวลานี้ต่างสมัครใจเป็นทหารของพระราชาดอกหรือ ที่สามารถเติบโตได้ทัน ใจโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง

เมื่อการปลุกปั่นสร้างกระแสราชานิยมสามารถเอื้อประโยชน์และสร้างความก้าวหน้าให้กับใครบางคนและคนบางกลุ่ม จึงอย่าได้สงสัยว่าทำไมจึงมีสถาบันและองค์กรบางแห่ง ต่างก็มีความพยายามที่จะเบียดแทรกเข้าไปร่วมขอส่วนแบ่งในการเป็นหน่วยงานของพระราชาด้วย การที่นายอักขราทร จุฬารัตนประธานศาลปกครองสูงสุดพร้อมคณะตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายศาลปกครองจำนวน 20 คนเข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเสื้อครุยตุลาการศาลปกครอง เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สร้างความยุ่งยากและลำบากพระทัยพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวจนทรงมีพระราชดำรัสว่า "ขอขอบใจที่ท่านเอาครุยของผู้พิพากษาศาลปกครองมาให้ ซึ่งนับได้ว่าท่านได้ให้ความเดือดร้อนเพิ่มเติมแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งสมควรที่กลุ่ม ฉวยโอกาสโหนกระแสราชานิยมจะต้องสำเหนียก

กระแสราชานิยมได้สร้างความสับสนจนระบอบการปกครองไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้ ด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำตามคำสั่งของใคร และไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ในเวลานี้ เพราะกลุ่มที่ก่อกระแสราชานิยมและอ้างความจงรักภักดีนั่นใช่ว่าจะจำกัดอยู่ แค่กลุ่มอมาตยาธิปไตยที่มีเปรมเป็นแกนนำเท่านั้น แม้แต่สื่อแห่งสำนักท่าพระอาทิตย์ ของวายร้ายอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ชูธง เรารักในหลวง เราสู้เพื่อในหลวงจน มีผู้คนหลงผิดคิดว่าเป็นสื่อพระราชาไปอีกองค์กรหนึ่ง ซึ่งคงความศักดิ์สิทธิ์และมีความ ขลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหน่วยงานพระราชาของสถาบันและองค์กรพระราชาอื่นๆ จึง ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่ในเวลานี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นและได้ยินว่า นี่เป็น ทหารพระราชา นั่นก็ทหารเสือราชินี โน่นก็ศาลพระราชาหรือแม้แต่สื่อของพระราชา ก็ยังมี และดูเหมือนจะขลังและโด่งดังกว่าองค์กรพระราชาอื่นๆเสียด้วยซ้ำไป จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมสุวรรณภูมิสยามประเทศของผมในวันนี้จึงฉิบหายล่มจมและป่นปี้ ไม่มีชิ้นดี

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมมีความคาใจเป็นอย่างยิ่ง ที่นายสุเมธ ตันติเวชกุลที่ได้ชื่อว่าบุคคล รับใช้ใกล้ชิดออกมาประกาศรับบริจาคเงินเพื่อซื้อเสื้อเกราะหนึ่งหมื่นตัวด้วยการชูกระ แสจตุคามรามเทพเป็นการตอบแทนให้สำหรับผู้บริจาคตามจำนวนเงินมากหรือน้อย และมีการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้ขลังขึ้น จึงมีความคิดที่จะสลักชื่อผู้ที่บริจาคเงินตั้งแต่ สองพันบาทขึ้นไปลงบนเสื้อเกราะ ผมจึงมีความไม่แน่ใจในพฤติกรรมอันน่าสงสัยนี้ว่า นายสุเมธซึ่งเป็นพลเรือนไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงแต่มีความต้องการเสื้อเกราะไปทำไมถึงหนึ่งหมื่นตัวและดำเนินการเรื่องนี้ในฐานะอะไรในขณะที่พล.อ.สุรยุทธ์นา ยกรัฐมนตรีกลับมีพฤติกรรมที่ยืดหยุ่นจนเป็นที่น่าสังเกตุว่า กำลังมีการต่อรองอะไรบาง อย่างจนเป็นที่จับตาและสงสัยของหุ้นส่วนที่ร่วมกันปล้นอำนาจประชาธิปไตยไปจาก ปวงชน หรือนี่คือสัญญาณเฮือกสุดท้าย

ผมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในเวลานี้มันไปไกลเกินกว่าที่จะสามารถต่อรอง กันได้ เพราะพวกเราให้เวลามามากพอแล้วและคงจะไม่มีเวลาให้อีกต่อไป สิ่งที่ต้อง ตัดสินใจสำหรับผู้มีอำนาจพึงจะกระทำได้ในขณะนี้นั่นก็คือ 1.รัฐบาลเถื่อนภายใต้การนำของสุรยุทธต้องยุติบทบาทอย่างไม่มีเงื่อนไข 2.คณะนายทหารโจรที่ก่อการกบฏภายใต้อำนาจเปรมต้องได้รับการลงโทษตามกฏ กฏหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น 3.พวกเราต้องการคืนความชอบธรรมให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ กลับมาแก้ใขปัญหาของประเทศชาติโดยด่วน และ 4.เปรมผู้ซึ่งเป็นต้นตอแห่งปัญหาต้องลาออกจากตำแหน่งประธานองค์มนตรีสถานเดียว

เพื่อเป็นการไว้อาลัยคุณนวมทอง ไพรวัลย์ วีรชนผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประ ชาธิปไตยด้วยชีวิต ขอได้รับการคารวะจากพวกเราในนาม กลุ่มต่อต้านเผด็จการเพื่อ ประชาธิปไตยหรือ The Thai Democratic Rights

บทความ คุณอาคม ซิดนีย์ ตอนที่ 3

ฉบับที่ ๓

๑๐ พ.ค. ๒๕๕๐

ความพอเพียงที่ไม่เคยเพียงพอ

โดย อาคม ซิดนีย์

http://www.arkomsydney.com/Article2.htm


กระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ซึ่งผมได้นำเสนอผ่านบท ความตอนที่ ๖ เรื่องเปรมาธิปไตยลัทธิมอมเมาสังคม” (เสียงจากออสเตรเลีย) ว่าพระ องค์ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของประชาชนอันสืบเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานปัญญาให้กับประชาชน ในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยให้เพียงพอกับรายได้ที่มีอยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กระแสพระราชดำรัสอันทรงคุณค่าได้ถูกกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯนำมาบิดเบือนจนเกิดเป็นความสับสนไปทั่วสังคมไทย

ดังนั้นในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอธิบายเพิ่มเติมว่า "พอเพียง หมายถึง พอมีพอกิน" "พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมี พอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งให้ทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี" (หาอ่านได้จากบทความตอนที่ ๖)

เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง บทความฉบับที่ ๑ เรื่องเปรมบิดเบือนและก้าวล่วงพระราชอำนาจ” (พลังปัญญาชนคนต่างแดน) ผมได้ชี้ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นถึงความไม่ชัดเจนของความหมายจนหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ได้ถูกกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯพยามบิดเบือนและยัดเยียดให้ประชาชนและองค์การต่างๆต้องยอมรับและให้ความสำคัญ ถึงกับลงทุนลงแรงแยกกันเดินสายเที่ยวนำไปพูดในที่ต่างๆ ทั้งที่เรียกว่าปาฐกถาและบรรยายพิเศษ จนสร้างความสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูกแม้กระทั่งทุกวันนี้ ทั้งนี้ก็เพียงเพื่อที่จะกล่าวหาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ไม่ตอบสนองกระแสพระราชดำรัส

สำหรับบทความเรื่อง ความพอเพียงที่ไม่เคยเพียงพอที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมคงไม่อาจที่จะไม่เขียนถึงบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯที่มีส่วนร่วมขบวนการปาฐกถาว่าด้วยหลักเศรษฐ กิจพอเพียงที่เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั่นก็คือ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และ ประธานคณะ อนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ทฤษฏีเศรษฐกิจพอ เพียงเนื่องในโอกาสพิธีครบรอบ ๘๕ ปี กำพล วัชรพล เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ความตอนหนึ่งว่า

ในที่สุดก็มีการขอพระราชทานคำนิยามของปรัชญามา คือเป็นปัญหาตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ มีอยู่ว่า คนเข้าใจคำว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่างๆ กัน พอจะมาพูดคุยว่าจะเอาไปประยุกต์ใช้อย่างไร บางทีต้องใช้เวลากันทั้งวันถกเถียงกันว่า ความหมายแปลว่าอะไร ในที่สุดทางสภาพัฒน์ฯ ได้ดำเนินการขอพระราชทานคำนิยามออกมา ซึ่งในหนังสือที่ผมได้นำเอามาแจกให้กับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายในวันนี้ ก็ได้ปรากฏคำนิยามดังกล่าว ที่จริงแล้วในปี ๒๕๔๒ ที่พระราชทานคำนิยาม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้กรุณาเผยแพร่คำนิยามทั้งหมดไปครั้งหนึ่งแล้ว สำหรับคำนิยามอันนี้ เป็นคำนิยามที่มีสาระประมาณหน้าหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ยังยากอยู่สำหรับผู้ที่จะมาประยุกต์ใช้ ว่าจะสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร พวกเราที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้จึงขอมาสรุปและกลั่นออกมาให้ง่ายขึ้นไปอีก เพื่อที่ผู้ใช้หรือผู้ประยุกต์ใช้ จะได้สามารถมาใช้ได้โดยอย่างสะดวก ก็จะขออนุญาตสรุปว่าสำหรับคำนิยามที่พระราชทานมา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบ ด้วย ๓ หลักกับ ๒ เงื่อนไขท่านผู้อ่านหาอ่านได้จาก(http://www.sufficiencyeconomy.org/show.php?Id=121)

เพื่อที่ผู้ใช้หรือผู้ประยุกต์ใช้ จะได้สามารถมาใช้ได้โดยอย่างสะดวก ก็จะขออนุญาตสรุปว่าสำหรับคำนิยามที่พระราชทานมา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบ ด้วย ๓ หลักกับ ๒ เงื่อนไข

หลักที่ ๑ คือหลักของการเดินสายกลาง ไม่สุดโต่ง หลักที่ ๒ คือใช้ความรู้และเหตุผลในการตัดสินใจ คือแทนที่จะใช้อารมณ์หรือตัดสินใจ ปัจจุบันทันด่วน อาศัยความรู้ และเหตุผลในการตัดสินใจ หลักที่ ๓ คือการมีภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะจากปัจจัยที่มีการ เปลี่ยนแปลง ที่อยู่นอกเหนืออิทธิพลของเรา สรุปสั้น ๆ คืออย่าเสี่ยงเกินไป อย่าเล็งผลเลิศเกินไป อย่าโลภเกินไป

ส่วน ๒ เงื่อนไข ได้แก่ เงื่อนไขที่ ๑ คือคุณธรรม ผู้ที่ปฎิบัติหรือผู้ที่ตัดสินใจนั้นควรจะตัดสินใจด้วยคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ความเพียร ความอดทน พูดง่ายๆ คืออย่าไปนั่งงอมือ งอเท้า แล้วหวังว่าทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นมาอย่างดี เงื่อนไขที่ ๒ อันนี้อาจจะดูแปลกสักนิด แต่ว่าคิดแล้วเป็นเรื่องที่ดี คือ ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นความรู้จากตำราเฉย ๆ แต่เป็นความรู้ที่ได้มาจากการอาจจะมีประสบการณ์ อาจจะอาศัยความรอบคอบ ระมัดระวัง พร้อม ๆ กันไปด้วย” (ผมอ่านจนขึ้นใจแต่ก็ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับ เศรษฐกิจพอเพียงตรงไหน)

ดร.จิรายุ ในฐานะประธานคณะ อนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงออกมาพูดเผยแพร่เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างต่อเนื่อง และมีกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ ชิดฯอย่างเปรม ณ สี่เสา ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย ได้ช่วยกันขยายผลด้วยการเดินสายไปปาฐกถาและบรรยายพิเศษในที่ต่างๆ ซึ่งก็พูดกันไปคนละทางจนไม่อาจหาข้อสรุปได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุลนำมาประโคมโหมเพื่อเข่นฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนกลายมาเป็นประเด็นคำถามของสังคมและตามมาด้วยการต่อต้านในที่สุด ทั้งหมดล้วนมีที่มาจากกลุ่มคนรับใช้ใกล้ชิดฯทั้งสิ้น

"พอเพียง หมายถึง พอมีพอกิน" "พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมี พอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งให้ทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี" อันเป็นกระแสพระราชดำ รัสที่คนไทยทั้งประเทศได้ยินได้ฟังเมื่อคืนวันที่ ๔ ธันวามคม ๒๕๔๑ มีความชัดเจนเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนฟังด้วยความเข้าใจ จะมีก็แต่ดร.จิรายุและสภาพัฒน์ฯเท่านั้นที่ทำตัวเป็นคนเข้าใจยาก ที่ถึงกับต้องขอพระราชทานคำนิยาม แล้วคำนิยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานก็ไม่ได้มีการนำมาเผยแพร่อย่างเปิดเผย หากแต่ได้ถูกนำไปบิดเบือนให้กลายเป็นอื่น

พวกเราที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้จึงขอมาสรุปและกลั่นออกมาให้ง่ายขึ้นไปอีกดังที่ดร.จิรายุได้กล่าวบรรยายพิเศษข้างต้นคงเป็นหลักฐานเป็นอย่างดีว่าเป็นการสรุปและ กลั่นออกมาตามแต่ใจที่ดร.จิรายุต้องการเพียงคนเดียวเพื่อสนองตัณหาและความประสงค์บางประการของตัวเอง หรือบนตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ที่ดร.จิรายุเป็นผู้บริหารอยู่ขณะนี้นั้นกำลังมีปัญหา มีปัญหาอันเกิดจากการร้องเรียนและฟ้องร้องนับเป็นร้อยๆคดีความ ดังนั้นดร.จิรายุจึงพยายามผูกโยงในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้เกี่ยวข้องกับกระแสพระราชดำรัสว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

ถ้าพูดถึง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหากท่านผู้อ่านได้ลองสังเกตุสักนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าหรือนักธุรกิจที่มีธุรกรรมหรือทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อทำกินกับสำนักงานทรัพย์สินฯในอดีตที่ผ่านมานั้นไม่เคยประสบปัญหาความขัดแย้งกันถึง ขั้นต้องฟ้องร้องกันอย่างเช่นทุกวันนี้ ส่วนที่กำลังเกิดเป็นปัญหาขัดแย้งและรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ในเวลานี้นั้น คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการบริหารและจัดการ โดยมีผลพวงมาจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๕๔๐

ผมจะขอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเล็กน้อยเกี่ยวกับสำนังานทรัพย์สินฯว่า ไม่มีความแตกต่างไปจากธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วๆไปที่มีการลงทุนและถือหุ้นในธุรกิจหรือกิจการที่ทำกำไร ดังนั้นในกลุ่มธุรกิจชั้นนำทุกแห่งทั่วประเทศจึงมีชื่อสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ที่นอกเหนือไปจากการมีที่ดินจำนวนมากที่ให้เช่าในนามของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ๒๕๒๙ พอในปีถัดมาคือปีพ.ศ.๒๕๓๐ ดร.จิรายุก็ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทรัพย์ สินส่วนพระมหากษัตริย์และตำแหน่งรองเลขาธิการพระราชวัง ในเวลาเดียวกันดร.จิรายุก็ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในหลายบริษัทสำคัญในประเทศไทย รวมถึงนายกกรรมการธนาคารไทยพานิช จนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าดร.จิรายุจะจำได้หรือไม่ในตำแหน่งต่างๆที่ตัวเองดำรงอยู่ เฉกเช่นเดียวกับเปรมและดร.สุเมธที่แต่ละคนก็ดำรงตำแหน่งในหลายต่อหลายบริษัทจนจำกันไม่หวัดไม่ไหว แต่ก็คงไม่เป็นไรเพราะนั่นเป็นความสมัครใจอันเกิดขึ้นจากนโยบายพอเพียงสำหรับคนกลุ่มนี้

ดร.จิรายุสำหรับผมแล้วคงต้องยอมรับละครับว่าเป็นคนเก่งและมีความรู้ความสามารถสูงที่หาตัวจับยากคนหนึ่งสำหรับสังคมไทย แต่บนความเก่งของดร.จิรายุก็เป็นเรื่องที่ผมอดจะเป็นห่วงไม่ได้ เพราะภายใต้การบริหารจัดการสำนักงานทรัพย์สินฯบนตำแหน่งผู้อำนวยการของดร.จิรายุตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นต้นมามีการขยายและต่อยอดจนพูดได้ว่าธุรกิจชั้นนำทั่วประเทศ (ทั้งนี้ไม่รวมต่างประเทศ) มีสำนักงานทรัพย์สินฯเข้าไปถือหุ้นอยู่ทุกแห่ง ซึ่งรายละเอียดผมคงไม่สามารถนำเสนอในบทความของผมได้หมด เพราะจำกัดด้วยเนื้อที่ (ท่านผู้อ่านคงต้องสืบค้นหาอ่านกันเอาเองว่ามีอยู่ในองค์กรธุรกิจใดบ้าง)

การเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นของสำนักงานทรัพย์สินฯจะมีจำนวนมากน้อยเท่าไหร่นั้น ไม่ใช่ประ เด็นที่ผมจะเขียนถึง แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือภายหลังจากที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๐และทำให้เกิดผลกระทบถึงองค์กรธุรกิจต่างๆภายในประเทศนั้น สำนักงานทรัพย์สินฯก็ย่อมต้องมีผลกระทบโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องสงสัยอันสืบเนื่องจากการนำเงินไปลงทุนในหลายๆกิจการที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และทำให้สำนักงานทรัพสินฯต้องทบทวนนโยบายการลงทุนและหันมาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพสินที่ดินที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

การเพิ่มรายได้วิธีง่ายที่สุดและได้ผลเห็นทันตาคงหนีไม่พ้นการขึ้นค่าเช่าที่ และการพัฒนาที่ดินเพื่อการจัดเก็บค่าเช่าเพิ่ม ซึ่งในเวลานี้ที่ดินในส่วนที่สำนักงานทรัพย์สินฯถือครองและมีผู้เช่าที่เป็นคู่สัญญามีอยู่ถึงสามหมื่นเจ็ดพันกว่าสัญญาทั้งนี้ไม่รวมผู้เช่ารายย่อยที่เช่าช่วงต่อมาจากผู้เช่าที่ทำสัญญากับสำนักงานทรัพย์สินฯโดยตรงอีกนับแสนราย ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจที่ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาจะไม่ลืมที่จะกล่าวย้ำในทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าสำนักงานทรัพสินฯจะดำเนินกับผู้เช่าด้วยความเป็นธรรม คือให้ผู้เช่าต้องอยู่ได้และสำนักงานทรัพย์ สินก็ต้องอยู่ได้อันเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นค่าเช่าและขอที่ดินคืนเพื่อพัฒนานั่นเอง

ถ้าหากการขึ้นค่าเช่าและขอที่ดินคืนเพื่อพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงดังกระแสพระราชดำรัสผมเชื่อเหลือเกินครับว่าคงไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนทฤษฏีเศรษฐกิจพอ เพียงที่ผ่านการสรุปและกลั่นออกมาจากดร.จิรายุ กำลังเกิดปัญหาและเป็นปัญหาที่อาจมีผลกระทบกระเทือนถึงสถาบันฯซึ่งดร.จิรายุต้องมีคำอธิบายนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทระหว่างสำนักงานทรัพย์สินฯกับผู้เช่าที่ดินย่านคลองถม คลองเตย ซอยหลังสวน ศูนย์การค้าบางกอกบาร์ซาร์ รวมทั้งข้อพิพาทเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน ๑๒๗ ไร่บริเวณโรงเรียนเตรียมทหารเดิม ที่บริษัทพีคอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัดของนายไพโรจน์ ทุ่งทอง ผู้พัฒนาโครงการสวนลุมไนท์บาร์ซาร์แล้วนำไปให้ผู้ค้ารายย่อยเช่าต่ออีกหลายร้อยราย ที่ผมบอกว่าอาจมีผลกระทบถึงสถาบันฯ

เพราะว่าเวลานี้มีผู้เช่ารายย่อยจำนวนมากทั้งเช่าตรงและเช่าช่วงต่อจากผู้ประกอบการที่ทำสัญญาเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินฯทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นบริเวณคลองถม คลอง เตย ซอยหลังสวนหรือศูนย์การค้าบางกอกบาร์ซาร์ และที่อื่นๆต่างได้เคลื่อนไหวคัดค้านการที่สำนักงานทรัพย์สินฯจะเรียกคืนที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินบริเวณโรงเรียนเตรียมทหารซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯมีแผนพัฒนาเป็นโครงการในเชิงพานิชขนาดใหญ่แบบ Mix Use ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม และสถานบันเทิงขนาดใหญ่ตามหลัก ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงของดร.จิรายุ

กลุ่มผู้ค้ารายย่อยได้รวมตัวกันคัดค้าน ทั้งยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่สำนักงานทรัพย์สินก็เลือกที่จะใช้ไม้แข็ง โดยงัดข้อกฏหมายขึ้นต่อสู้ ด้วยการนำข้อพิพาทขึ้นฟ้องร้องในทางแพ่ง เพื่อขับไล่ผู้เช่าออกจากพื้นที่ และว่าจะดำเนินการกับผู้เช่าที่ฝ่าฝืนไม่ยอมย้ายออกด้วยการฟ้องทั้งบริษัทพีคอน ดีเวลลอปเม้นท์และผู้ค้ารายย่อยที่เช่าพื้นที่บริเวณศูนย์การค้บางกอกบาร์ซาร์ จนทำให้ผู้ค้ารายย่อยจำนวนกว่าร้อยรายรวมตัวกันในนามชาวศูนย์การค้าบางกอกบาร์ซาร์ ออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม โดยระบุว่าได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากที่มีกลุ่มบุคคลเข้าไปรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ยังถูกข่มขู่จากคนบางกลุ่มที่แต่งกายคล้ายชุดเครื่องแบบทหารชุดลายพรางทำให้ไม่มั่นใจในชีวิตและทรัพย์สิน วิธีการดังกล่าวดูไปแล้วไม่แตกต่างไปจากวิธีการของนายชูวิทย์ในอดีต (ข้อมูลจากบทความพิเศษ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ ๒๐ -๒๖ พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉบับที่ ๑๓๙๒ หน้า ๑๔ )

การที่นายอุทัยวงค์ จิรวิชัยและนายวิสุทธิ์ แสวงพิริยะกิจได้มอบหมายให้นายวรินทร์ เทียมจรัส ทนายด้านสิทธิมนุษย์ชนและสิ่งแวดล้อมยื่นฟ้องสำนักงานทรัพย์สินฯและดร.จิรายุ เนื่องเพราะได้รับความเดือดร้อนจากการที่สำนักงานทรัพย์สินฯฟ้องขับไล่ศูนย์การ ค้าบางกอกบาร์ซาร์ให้ออกจากพื้นที่ โดยต้องการให้เปิดเผยข้อมูล ๒ ประเด็นที่มีการแอบอ้างว่า มีพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการพัฒนาศูนย์การค้าดังกล่าว และหนังสือที่สำนักงานทรัพย์สินฯมีถึงศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เกี่ยวกับการฟ้องขับไล่ผู้ค้าออกจากศูนย์การค้าบางกอกบาร์ซาร์ อันมีนัยสำคัญที่ต้องการสื่อ ความหมายถึง ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงของดร.จิรายุที่ประกอบด้วย ๓ หลักและ ๒เงื่อนไขนั้น แท้จริงแล้วคือหลักความพอเพียงที่ไม่เคยเพียงพอนั่นเอง

เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นผมไม่แน่ใจว่ามันสอดคล้องกับหลักข้อไหนและเงื่อนไขข้อใดในทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงดังที่ดร.จิรายุได้กล่าวบรรยายพิเศษฯ และนี่จึงเป็นที่มาสำหรับความเป็นห่วงที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น เพราะหากคดีความที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ในเวลานี้ระหว่างสำนักงานทรัพย์สินฯและผู้เช่า ถ้าผลแห่งการวินิฉัยของศาลตัดสินให้สำนักงานทรัพย์สินฯเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งก็คงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องมีคำครหาเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในทางกลับกันหากศาลพิจารณาและตัดสินให้สำนักงานทรัพย์สินเป็นฝ่ายแพ้คดี ก็ต้องมีผลกระทบที่ไม่ส่งผลดีต่อสถาบันฯอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างแน่ นอน ผมจึงอยากจะถามดร.จิรายุว่าจะรับผิดชอบไหวหรือ

ความเสียหายจนเกิดเป็นผลกระทบไปสู่วงกว้าง และกลายเป็นปัญหาทางสังคมที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อหาหนทางแก้ไขได้ ซึ่งล้วนเกิดจากฝีมือของกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯที่ประกอบด้วยทั้งด๊อกเตอร์และด๊อกเฒ่าเสียเป็นส่วนใหญ่ นี่ยังไม่นับรวมถึง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอีกกว่าหนึ่งหมื่นโครงการ ซึ่งคงต้องนำเสนอในโอกาสต่อไป