Thursday, March 26, 2009

บทความ คุณอาคม ซิดนีย์ ตอนที่ 4

๒๗ พ.ค. ๒๕๕๐

สัญญาณเฮือกสุดท้าย

โดย อาคม ซิดนีย์

http://www.arkomsydney.com/Article2.htm


พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีกล่าวประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติว่า การทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนานจนแทบจะกล่าวได้ว่าแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของสังคมไทย ทำให้การพัฒนาบ้านเมืองไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ตามความมุ่งหวัง รัฐบาลจึงได้ประกาศวาระแห่งชาติด้านจริยธรรมธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ก่อให้เกิดสำนึกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างยั่งยืนยาวนานสืบต่อไป จากนั้นพล.อ.เปรมกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อล้างทุจริต

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ ปฏิญาณล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชันเนื่องในวโรกาสมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม ที่ตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้าวันที่ 9 พฤษภาคม โดยมีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รัฐมนตรี ผู้นำองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ องค์กรอิสระ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ กว่า 1,500 คน เข้าร่วมในพิธี มีความว่า

ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะตั้งมั่นและ ปฏิบัติตนในหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต จะถือว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะ รวมพลังยืนหยัดต่อสู้และต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ และจะประพฤติปฏิบัติในทุกวิถี ทาง เพื่อบรรลุถึงพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อนำสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งความเป็นธรรมตลอดไป

ต้องถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และทำให้ผมต้องเขียนถึง ต้องเขียนถึงเพราะพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีที่มีฐานะเป็นผู้นำของประเทศ ประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามทุจริตโดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติด้านจริยธรรมธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐฯซึ่งมีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยืนอยู่ข้างๆ การประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในครั้งนี้มีนัยสำคัญคือต้องการ เทิดไท้องค์ราชันเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา๘๐พรรษา แต่การกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อล้างทุจริตกลับกลายเป็นเปรมเป็นผู้แสดง

ใครจะเป็นผู้แสดงในการกล่าวนำคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่มีความสำคัญที่ผมจะต้องเขียนถึง หากแต่ภาระหน้าที่บนตำแหน่งองคมนตรีคงต้องระบุให้ชัดเจนว่าเรื่องใดควรหรือไม่ควร วาระแห่งชาติอันเป็นนโยบายของรัฐบาลตามประกาศของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มีเปรมเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ "ล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน" เป็นอีกบริบทหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการมีความสำคัญและมีอำนาจเหนือรัฐฯของเปรมอย่างเป็นรูปธรรม หรือว่านายกรัฐมนตรีพล.อ.สุรยุทธ์และพล.อ.สนธิหัวหน้าคณะรัฐประหารหมดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ เพราะคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความทุจริตในกรณีครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังถูกตรวจสอบในข้อหาเรื่องงบเสื้อเกราะ และอีกหลายงบที่ส่อไปในทางทุจริตที่ถูกเรียกร้องให้มีการตรวจสอบซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

กล่าวสำหรับเปรมเองก็ใช่ว่าจะมีความชอบธรรมในการทำหน้าที่กล่าวนำถวายคำสัตย์ฯ เพราะเวลานี้ความน่าเชื่อถือทางสังคมของเปรมนั้นถือได้ว่าติดลบในสายตาของคนทั่ว ไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยึดครองบ้านหลวงเพื่ออยู่อาศัยอย่างเป็นการถาวร ใช้ไฟหลวง น้ำ หลวง รถหลวงทั้งๆที่เปรมได้เกษียณอายุราชการมายาวนานเกือบสามสิบปีแล้วก็ตาม แต่ก็ดำน้ำทำลืม โดยไม่ยอมคืนให้รัฐและที่สำคัญเวลานี้กำลังถูกเรียกร้องให้ต้องลาออกจากการเป็นประธานองคมนตรีอันสืบเนื่องจากการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ถ้าหาก คนอย่างเปรมมีคุณธรรมและจริยธรรมตามที่กล่าวอ้าง เปรมจะต้องยุติบทบาทของตัวเอง ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับงานพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสอันเป็นวันมหามงคลสมัยยิ่งต้องระมัดระวัง แต่เปรมกลับทำรุ่มร่ามเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิด ขึ้น เปรมไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลและความซื่อ สัตย์สุจริต เพราะเปรมไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ติดตัวแม้แต่ข้อเดียว

การประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตด้วยการกำหนดให้เป็น วาระแห่งชาติว่า "ล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน" ขึ้นมาอย่าง ปัจจุบันทันด่วนในขณะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมย่อมไม่อาจที่จะไม่นำมาทบทวนและพิจารณาถึงเจตนาของรัฐบาลและผู้มีอำนาจในการชัก นำว่ามีความประสงค์ต้องการอะไร จะยึดพระองค์ท่านฯเป็นเกราะป้องกันหรือจะอ้างความชอบธรรมที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติบดขยี้พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวเพราะเวลานี้มีองค์กรเถื่อนที่ถูกแต่งตั้งโดยทหารโจรทำหน้าที่จ้องเอาผิดอยู่ การยึดอำนาจด้วยการอ้างว่า เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้ต่อต้าน พ.ต.ท ทักษิณ ตั้งรัฐบาลเถื่อนขึ้นมาก็อ้างความสนานฉันท์ ขณะเดียวกันก็ตั้งกลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์และเป็นปฏิปักษ์กับคุณทักษิณกระจายออกเป็นหลายคณะมาทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อพิจารณาความผิด ไล่จิกตีไม่เว้นแม้กระทั่งลูกเมียแบบเล่นไม่เลิกตลอดระยะเวลาเก้าเดือนที่ผ่านมา

การบดขยี้เพื่อเอาผิดกับครอบครัวชินวัตรให้จนได้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส) หรือสำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดิน (สตง) ตลอดจนตุลาการรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร ที่ทหารโจรตั้งขึ้นมาแทน ศาลรัฐธรรมนูญโดยมีเจตนาต้องการดับอนาคตทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณด้วยการ ตั้งธงให้มีการตัดสินเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็น เวลาห้าปี ต่างๆเหล่านี้คงบ่งชัดถึงนโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลเถื่อนและคณะนาย ทหารโจรได้เป็นอย่างดีว่า ได้ตั้งอยู่บนหลักจริยธรรมธรรมาภิบาลดังที่พล.อ.สุรยุทธ์ได้กล่าวไว้ข้างต้นหรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมสมุนโจรอีกกลุ่มหนึ่งที่แยกไปทำหน้าที่เขียนร่าง กฏหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องโจรด้วยกัน ภายใต้ชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรม นูญ (สสร.)

ความจริงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบนั้น ได้ถูกกำหนดให้ เป็นวาระแห่งชาติของทุกรัฐบาล แต่ก็ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนจะประสบความสำเร็จ นอก จากจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว ยังกลับสร้างปัญหาฉาวโฉ่ให้เป็นเงื่อนไขของการยึดอำ นาจก็มีให้ได้เห็นกันอยู่ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จนแทบจะกล่าวได้ว่า ถ้าต้องการล้มรัฐ บาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม เงื่อนไขแห่งทุจริตนี่แหละที่สามารถล้มได้ทุกรัฐบาล เลยทีเดียว แม้รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.สุรยุทธ์เจ้าของวาทะที่ประกาศเจตนารมณ์ ของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ก็มีเรื่องทุจริตจนส่อเค้าว่าจะ ไม่สามารถนำพาประเทศได้อีกต่อไปและดูเหมือนจะมีรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณที่กล้าหาญพอที่จะแก้ปัญหาทุจริตด้วยการประกาศเป็นสงครามคอรัปชั่นด้วยซ้ำไป แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การปราบปรามกำลังดำเนินไปด้วยความระทึก อำนาจต่างๆที่เป็นแรงขับเคลื่อนก็ได้ถูกคณะนายทหารโจรปล้นชิงไปเสียก่อน

ถ้าหากรัฐบาลสุรยุทธ์หรือผู้มีอำนาจมีความจริงใจและจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวจริงดังที่กล่าวอ้าง เหตุใดเนื่องในวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคมในปีนี้ จึงเลือกในสิ่งซึ่งเป็นไปได้น้อยหรือยังมองไม่เห็นความ เป็นไปได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติเพื่อเทิดพระเกียรติ์ ปัญหาใหญ่ๆอย่างน้อยสอง ปัญหาที่พระองค์ทรงกังวลพระทัยด้วยความเป็นห่วงในกรณีที่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ ชายแดนภาคใต้ และความแตกแยกของคนไทยในทุกสังคม รัฐบาลกลับมองไม่เห็น ความสำคัญ

ปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้ รัฐบาลและผู้มีอำนาจต่างรู้อยู่แก่ใจเป็น อย่างดีว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใด ต้นตอแห่งปัญหามาจากไหน เหตุใดปัญหาจึงยืดเยื้อ และดำรงอยู่ แล้วทำไมจึงบานปลายจนกลายเป็นปัญหาของคนทั้งชาติซึ่งหนักหนายิ่ง กว่าเมื่อก่อนที่จะทำการรัฐประหารยึดอำนาจเสียอีกและกำลังเข้าสู่วิกฤติการณ์ที่ไม่อาจหลีกพ้นจากการนองเลือดได้ในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นไม่ใช่เกิดจากการปกครองโดยไม่ ยึดหลักคุณธรรมที่พล่ามอยู่ทุกเมื่อดอกหรือ การกลุ้มรุมคิดร้ายทำลายแบบร่วมด้วยช่วย กันโดยไม่ยึดหลักนิติธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้มีใจรักความเป็นธรรมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงต้องออกมาร่วมชุมนุมประท้วง การใช้อำนาจบาดใหญ่สั่งปิดสื่อต่างๆเพื่อให้ประชา ชนได้รับข้อมูลข่าวสารด้านเดียวที่มีการบิดเบือนตลอดมา ก็ยิ่งสร้างศรัทธาให้คนที่มีใจ เป็นกลางเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านเพิ่มจำนวนมากขึ้น นี่ยังไม่รวมถึงการจำกัดสิทธิเสรีถาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกปฏิบัติด้วยการย่ำยีจนป่นปี้ไม่เหลือแม้ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

ภายหลังการยึดอำนาจ คณะนายทหารโจรและรัฐบาลเถื่อนประกาศชูหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล โดยเน้นความซื่อสัตย์สุจริตและจะปกครองดูแลบ้านเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยโดยยึดหลักนิติธรรม แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นความจริงก็ปรา กฏว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ จึงอย่าได้แปลกใจทำไมจึงมีกลุ่มต่อต้านเพิ่มจำนวนมากขึ้นจน นับไม่ถ้วน แทนที่ผู้กุมอำนาจเถื่อนทั้งหลายตระหนักกลับมักง่ายโยนให้เป็นความผิด ของกลุ่มอำนาจเก่า โดยกล่าวหาว่าเป็นม๊อบรับจ้างแม้กระทั่งผู้มาร่วมชุมนุมก็ถูกเหมา รวมว่าเป็นพวกที่ได้รับเศษเงินมาป่วน และเหิมเกริมถึงขนาดดูแคลนเปรียบเทียบผู้คน ที่ชุมนุมเป็นแค่หมา จะใช้อาก้ายิงเป็นตัวอย่างจากนายพลปากพล่อยนามสพรั่ง

การชุมนุมประท้วงต่อต้านเผด็จการนับวันเสียงขานรับยิ่งดังขึ้นทุกที ทั้งในและนอก ประเทศได้สร้างความกังวลใจให้กับคณะนายทหารโจรและหุ้นส่วนมากยิ่งขึ้นจนกลาย เป็นความหวาดกลัวและเกิดความระแวงในที่สุด จึงอย่าได้แปลกใจที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้รับการร้องขอจากกลุ่มคนไทยในนครลอนดอนที่ไปให้กำลังใจ ด้วยการต่อ สายให้กล่าวคำทักทายกับคนไทยในประเทศโดยผ่านวิทยุชุมชนนั้น สามารถสร้าง ความกังวลให้กับคณะนายทหารโจรทุกคนถึงกับผวาจนสะท้านสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ที่ทำให้กรมอุตุฯเข้าใจผิดคิดว่าแผ่นดินไหว

การที่รัฐบาลเถื่อนและคณะนายทหารโจรมีความหวาดหวั่นและเกรงกลัวพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวโดยถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง ที่ถึงกับต้องทุ่มเทสรรพกำลังทั้งกองทัพ และหน่วยงานราชการในสังกัด ทั้งในและนอกประเทศตลอดจนองค์กรต่างๆเพื่อเข่นฆ่า แต่กลับละเลยปัญหาความรุนแรงในเขตพื้นที่ภาคใต้ ปล่อยให้คนไทยผู้บริสุทธิและเจ้า หน้าที่แห่งรัฐถูกฆ่าเป็นรายวันต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับการแก้ไข ก็เป็นอีก เรื่องที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศไม่น้อยไปกว่าการไล่ล่าฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ

ดังที่ได้กล่าวมานี้ ถ้าหากรัฐบาลเถื่อนและคณะนายทหารโจรมีความจงรักภักดีจริงดังที่ กล่าวอ้าง จะต้องไม่ทำตัวอยู่ใต้อาณัติและให้ความสำคัญกับคนชื่อเปรมที่กำลังถูกต่อ ต้านจากคนทั้งประเทศอย่างเด็ดขาด และในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคมในปีนี้ หากรัฐบาลต้องการจัดเฉลิมฉลองงานพระราชพิธีเพื่อ เทิดพระเกียรติยศ ก็สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษที่จะเลือกทำในสิ่งที่เป็น ไปได้และพระองค์ท่านทรงห่วงใยนั่นก็คือ รวมใจคนไทยให้เกิดความสมานฉันท์เพื่อ ถวายเป็นพระราชกุศลหรือ ล้างศัตรูให้สิ้นแผ่นดินไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน

ประเทศไทยที่น่าสงสาร ๗๕ ปีแห่งการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยดูเหมือนทุกวันนี้ ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ โดยยังไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร จึงปล่อยให้กลุ่มบุคคล ไม่กี่คนมามีอำนาจเหนืออธิปไตยอันเป็นอำนาจปวงชนที่เรียกว่าประชาธิปไตยได้ นั่นก็ สืบเนื่องจากการที่ไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นความรู้ที่เป็นเนื้อแท้ของคำ ว่าประชาธิปไตยนั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายที่เราเคยได้รับชัยชนะในการต่อสู้เพื่อประ ชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และมีกลุ่มนักศึกษาปัญญาชน ออกไปเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยตามชนบท แต่พวกเขาเหล่านั้นก็มีอัน ต้องถูกทำลายในเวลาต่อมา ด้วยข้อหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ภายใต้นโยบาย ขวาพิฆาตซ้ายในกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ (รายละเอียดหาอ่านได้จากบทความตอนที่ ๕ ยุทธการเราพร้อมแล้ว)

ครั้นพอหมดยุคคอมมิวนิสต์และประเทศไทยบังเอิญโชคดีที่ได้รัฐบาลที่มีความสามารถ ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำพาประเทศชาติพ้นสู้วิกฤติเศษรฐกิจ แล้วมีแนวโน้มไปสู่ความเจริญอย่างเห็นได้ชัด และพอที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนคน ส่วนใหญ่ได้ แต่ก็มีอันต้องถูกทำลายจากกลุ่มบุคคลที่ผมเรียกว่ารับใช้ใกล้ชิดฯ กลุ่ม บุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯอย่างน้อยสี่คนที่ผมเคยนำเสนอผ่านบทความของผมไปแล้ว อัน ประกอบด้วย เปรม ติณสูลานนท์ สุเมธ ตันติเวชกุล จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และ น.พ.เกษม วัฒนชัย

เปรมเปิดประเด็นเข่นฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยยกอ้างหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิ บาลและความซื่อสัตย์สุจริตพร้อมกับชูสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะป้องกันและ ทำลายอำนาจรัฐด้วยการปลุกปั่นให้กองทัพไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ด้วยเหตุผลว่า รัฐบาลเป็นเพียงจ๊อกกี้มาแล้วก็ไป ทหารต้องเป็นม้าของพระราชาจึง เป็นการเปิดโอกาสให้กับนายทหารที่บ้าอำนาจและอยากเจริญเติบโตด้วยเส้นทางลัด ต่างแย่งกันประกาศตัวว่าเป็นทหารของพระราชา ที่โด่งดังคงไม่มีใครเกินสพรั่งและ บรรณวิทย์ที่กล้าถึงขนาดประกาศชนกับรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่อ้อมค้อม ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจที่ทำไมปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อันเป็นศัตรู ตัวฉกาจของชาติในเวลานี้จึงไม่ได้รับความสนใจจากกองทัพ นั่นไม่ใช่เป็นเพราะทหาร ของชาติในเวลานี้ต่างสมัครใจเป็นทหารของพระราชาดอกหรือ ที่สามารถเติบโตได้ทัน ใจโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง

เมื่อการปลุกปั่นสร้างกระแสราชานิยมสามารถเอื้อประโยชน์และสร้างความก้าวหน้าให้กับใครบางคนและคนบางกลุ่ม จึงอย่าได้สงสัยว่าทำไมจึงมีสถาบันและองค์กรบางแห่ง ต่างก็มีความพยายามที่จะเบียดแทรกเข้าไปร่วมขอส่วนแบ่งในการเป็นหน่วยงานของพระราชาด้วย การที่นายอักขราทร จุฬารัตนประธานศาลปกครองสูงสุดพร้อมคณะตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายศาลปกครองจำนวน 20 คนเข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายเสื้อครุยตุลาการศาลปกครอง เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สร้างความยุ่งยากและลำบากพระทัยพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวจนทรงมีพระราชดำรัสว่า "ขอขอบใจที่ท่านเอาครุยของผู้พิพากษาศาลปกครองมาให้ ซึ่งนับได้ว่าท่านได้ให้ความเดือดร้อนเพิ่มเติมแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งสมควรที่กลุ่ม ฉวยโอกาสโหนกระแสราชานิยมจะต้องสำเหนียก

กระแสราชานิยมได้สร้างความสับสนจนระบอบการปกครองไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้ ด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำตามคำสั่งของใคร และไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ในเวลานี้ เพราะกลุ่มที่ก่อกระแสราชานิยมและอ้างความจงรักภักดีนั่นใช่ว่าจะจำกัดอยู่ แค่กลุ่มอมาตยาธิปไตยที่มีเปรมเป็นแกนนำเท่านั้น แม้แต่สื่อแห่งสำนักท่าพระอาทิตย์ ของวายร้ายอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ชูธง เรารักในหลวง เราสู้เพื่อในหลวงจน มีผู้คนหลงผิดคิดว่าเป็นสื่อพระราชาไปอีกองค์กรหนึ่ง ซึ่งคงความศักดิ์สิทธิ์และมีความ ขลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหน่วยงานพระราชาของสถาบันและองค์กรพระราชาอื่นๆ จึง ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่ในเวลานี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นและได้ยินว่า นี่เป็น ทหารพระราชา นั่นก็ทหารเสือราชินี โน่นก็ศาลพระราชาหรือแม้แต่สื่อของพระราชา ก็ยังมี และดูเหมือนจะขลังและโด่งดังกว่าองค์กรพระราชาอื่นๆเสียด้วยซ้ำไป จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมสุวรรณภูมิสยามประเทศของผมในวันนี้จึงฉิบหายล่มจมและป่นปี้ ไม่มีชิ้นดี

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมมีความคาใจเป็นอย่างยิ่ง ที่นายสุเมธ ตันติเวชกุลที่ได้ชื่อว่าบุคคล รับใช้ใกล้ชิดออกมาประกาศรับบริจาคเงินเพื่อซื้อเสื้อเกราะหนึ่งหมื่นตัวด้วยการชูกระ แสจตุคามรามเทพเป็นการตอบแทนให้สำหรับผู้บริจาคตามจำนวนเงินมากหรือน้อย และมีการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้ขลังขึ้น จึงมีความคิดที่จะสลักชื่อผู้ที่บริจาคเงินตั้งแต่ สองพันบาทขึ้นไปลงบนเสื้อเกราะ ผมจึงมีความไม่แน่ใจในพฤติกรรมอันน่าสงสัยนี้ว่า นายสุเมธซึ่งเป็นพลเรือนไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงแต่มีความต้องการเสื้อเกราะไปทำไมถึงหนึ่งหมื่นตัวและดำเนินการเรื่องนี้ในฐานะอะไรในขณะที่พล.อ.สุรยุทธ์นา ยกรัฐมนตรีกลับมีพฤติกรรมที่ยืดหยุ่นจนเป็นที่น่าสังเกตุว่า กำลังมีการต่อรองอะไรบาง อย่างจนเป็นที่จับตาและสงสัยของหุ้นส่วนที่ร่วมกันปล้นอำนาจประชาธิปไตยไปจาก ปวงชน หรือนี่คือสัญญาณเฮือกสุดท้าย

ผมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในเวลานี้มันไปไกลเกินกว่าที่จะสามารถต่อรอง กันได้ เพราะพวกเราให้เวลามามากพอแล้วและคงจะไม่มีเวลาให้อีกต่อไป สิ่งที่ต้อง ตัดสินใจสำหรับผู้มีอำนาจพึงจะกระทำได้ในขณะนี้นั่นก็คือ 1.รัฐบาลเถื่อนภายใต้การนำของสุรยุทธต้องยุติบทบาทอย่างไม่มีเงื่อนไข 2.คณะนายทหารโจรที่ก่อการกบฏภายใต้อำนาจเปรมต้องได้รับการลงโทษตามกฏ กฏหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น 3.พวกเราต้องการคืนความชอบธรรมให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ กลับมาแก้ใขปัญหาของประเทศชาติโดยด่วน และ 4.เปรมผู้ซึ่งเป็นต้นตอแห่งปัญหาต้องลาออกจากตำแหน่งประธานองค์มนตรีสถานเดียว

เพื่อเป็นการไว้อาลัยคุณนวมทอง ไพรวัลย์ วีรชนผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประ ชาธิปไตยด้วยชีวิต ขอได้รับการคารวะจากพวกเราในนาม กลุ่มต่อต้านเผด็จการเพื่อ ประชาธิปไตยหรือ The Thai Democratic Rights

No comments:

Post a Comment