Wednesday, March 25, 2009

บทความ คุณอาคม ซิดนีย์ ตอนที่ 1

บทความของ คุณอาคม ซิดนีย์ มีหลายบทความ จะทยอยนำมาให้อ่าน เป็นตอน ๆ ตอนแรกนี้ จะกล่าวถึง ปูมหลัง ของปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทย และเชื่อมโยง กับ ความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นการเปิดโปง ผู้อยู่เบื้องหลัง และเครือข่าย


บทความ ฉบับที่ ๑
๗ เมษายน ๒๕๕๐
เปรมบิดเบือนและก้าวล่วงพระราชอำนาจ

โดย อาคม ซิดนีย์

http://www.arkomsydney.com/Article2.htm

“เสียงจากออสเตรเลีย” ผมได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนชื่อเปรม โดยมีรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ จากอดีตถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น ๑๒ ตอน ที่เพิ่งจบลงไปแล้วนั้น มีสาระสำคัญที่สมควรจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นคำถามผ่านมายังท่านผู้อ่านในวันนี้อย่างน้อยสองประการคือ

๑.การบิดเบือนกระแสพระราชดำรัส
๒. การเคลื่อนไหวโค่นล้มทักษิณอันเกิดจากกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯ

บทความตอนที่ ๖ เรื่อง “เปรมาธิปไตยลัทธิมอมเมาสังคม” ผมได้เขียนเกี่ยวกับเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๐และ ๒๕๔๑ (หาอ่านได้ในบทความตอนที่ ๖) มาประกอบเป็นหลักฐานในการเขียนเพื่อให้เห็นว่ามีการบิดเบือน บิดเบือนถึงขั้นยกเป็นหลักปรัชญาโดยไม่ต้องผ่านการทดลองหรือพิสูจน์ว่ามันได้ผลมากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วที่ยิ่งร้ายไปกว่านั้นก็คือมีการพยายามยัดเยียดให้เป็นนโยบายแห่งรัฐ และนำมาเป็นประเด็นเข่นฆ่าคุณทักษิณ ด้วยการกล่าวหาว่าไม่สนองตอบกระแสพระราชดำรัส

หลักเศรษฐกิจพอเพียงที่มีการลงแรงไปพูดบรรยายพิเศษและปาฐกถาตามที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา หรือดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และน.พ.เกษม วัฒนชัย องมนตรี ต่างก็พูด กันไปคนละทิศคนละทาง และแม้แต่เปรมเองที่เดินเครื่องไปพูดในทุกแห่งหนมานานนับปี มีข้อสรุปหรือว่าปรัชญาหรือหลักเศรษฐกิจพอเพียงมันคืออะไร จึงอย่าได้แปลกใจเลยครับว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ที่เป็นคนหนึ่งที่ท่องคาถาบทนี้ และชูมาเป็นนโยบายเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่สามารถแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ว่าอะไรคือหลักเศรษฐกิจพอเพียง

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เคยกล่าวบรรยายในที่แห่งหนึ่ง ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าที่ไหน หากแต่พอจำในเนื้อหาได้ ซึ่งมีความตอนหนึ่งได้หยิบยกเอาปูนซิเมนต์ไทยขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ประกอบคำบรรยายว่า สมัยก่อนปูนซีเมนต์ไทยมีบริษัทในเครืออยู่ถึงกว่าสองร้อยแห่ง แต่พอนำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยยุบให้เล็กลงเหลือเจ็ดสิบกว่าแห่ง ปรากฏว่าผลประ กอบการ ทำกำไรให้มากกว่า ซึ่งบนความเป็นจริงแล้วใครๆก็รู้ว่าที่ต้องยุบให้เล็กนั้นมีผลพวงมาจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ ในเวลานั้นทุกธุรกิจจำเป็นต้องหดตัวให้เล็กลงเพื่อความอยู่รอดเพราะไม่อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและแม้แต่ธนาคารก็ยังต้องใช้มาตรการควบรวมกิจการ ส่วนผลประกอบการที่ทำกำไรดังที่ ดร.สุเมธกล่าวอ้างนั้น ก็เป็นผลสืบเนื่องจากทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยรักไทย ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร จนสามารถทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัว...มิใช่หรือ?

การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ที่ผ่านมา ถ้าหากท่านผู้อ่านได้พิจารณาโดยละเอียดก็จะพบความจริงว่า เป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจอย่างชัดเจน ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในบทความตอนที่ ๑๒ เรื่อง “อวสานคนชื่อเปรม” ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ และมีพระราชหัตถ์เลขา ถึงคณะกกต.ชุดเดิมความว่า “ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิยุติธรรม” อันเป็นการแสดงว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสนับสนุนให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสอดคล้องกับกระแสพระราชดำรัสก่อนหน้านี้ที่ว่า “นายกรัฐมนตรีพระราชทานไม่เป็นประชาธิปไตย มันมั่ว”

คณะนายทหารที่ทำการล้มล้างรัฐบาลด้วยกำลังและอาวุธได้สำเร็จไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการโฆษณาชวนเชื่อโดยผ่านเครือข่ายของ แอ้มสนธิทีวี (ASTV) ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพอันสืบเนื่องจาก “พลังอำนาจ ที่ทรงอิทธิพล” ให้การสนับสนุนจนนายสนธิกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ใครก็ไม่อาจ แตะต้องได้ นายสนธิสามารถกร่นด่าและขับไล่รัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเสรีจนเกินขอบเขต จนเกินเลยกว่าที่จะเรียกว่าท้าทายอำนาจรัฐ หากแต่เข้า ข่ายล้มล้างรัฐบาลซึ่งมีความผิดข้อหา “การกระทำอันเป็นการกบฏ” แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่

แม้การโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฝ่ายพันธมิตรฯจะประสบความสำเร็จจน กระทั่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี อันถือได้ว่าเป็นชัยชนะตามความมุ่งหมายที่ต้องการ ซึ่งบนความเป็นจริงแล้วนายสนธิสมควรที่จะต้องยุติบทบาทเพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้มีโอกาสแก้ไขและสะสางปัญหาภายใต้ข้ออ้างและเหตุผลในการทำรัฐประหาร แต่นายสนธิดูเหมือนจะยิ่งได้ใจและมีปฏิบัติ การชนิด “ได้คืบเอาศอก”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปรับเปลี่ยนรายการ “พันธมิตรประชาชนฯ” มาเป็น “ยามเฝ้าแผ่นดิน” พร้อมกับประกาศว่าความสำเร็จในการโค่นล้มทักษิณลงได้นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เท่านั้น หากแต่ยังมีภาระกิจสำคัญและยิ่งใหญ่ที่ต้องทำคือ การเป็นยามเฝ้าแผ่นดินที่ต้องติดตามการทำงานของรัฐบาล พร้อมกับตอกย้ำในเจตนาเดิมว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น เพียงต้องการทำหน้าที่เป็นยามรักษาแผ่นดิน ซึ่งทำให้ฟังดูน่าเชื่อและเลื่อมใส แต่บนความเป็นจริงแล้วนายสนธิย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเองเป็นอย่างดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิที่จะรับตำแหน่งอันใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากนายสนธิได้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จึงทำให้การประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆของนายสนธินั้นเป็นโกหกคำโตที่หลอกลวงประชาชนมาโดยตลอด

นายสนธิทำได้แต่เพียงส่งตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทน เพื่อขอมีส่วนเอี่ยวในผลประ โยชน์แห่งอำนาจจากการจัดตั้งรัฐบาล เช่นเดียวกับที่เคยส่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายทนง พิทยะเข้าไปร่วมรัฐบาลคุณทักษิณ ส่วนแบ่งแห่งอำนาจจากการจัดสรรของรัฐบาลใหม่ของพล.อ.สุรยุทธ์ แม้กลุ่มพันธมิตรฯภายใต้การนำของนายสนธิ จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสว.หลายคน และมีอีกจำนวนหนึ่งที่กระจายไปอยู่ในองค์กรอิสระในการทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับคุณทักษิณและครอบครัว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นายสนธิ พึงพอใจกับการจัดสรรส่วนแบ่งแห่งอำนาจในครั้งนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้นายสนธิจึงจำเป็นที่ต้องออกมาทำหน้าที่ด้วยการกร่นด่าและขับไล่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลและข้าราชการระดับสูงบางคนเช่นเดียวกับที่เคยทำกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยที่เจ้าหน้าที่แห่งรัฐทุกหน่วยงานดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้การกดทับของ“พลังอำนาจที่ทรงอิทธิพล” จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการรักษากฏหมายได้ จึงอย่าได้แปลกใจว่านายสนธิทำไมจึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่มากด้วยบารมี ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือพล.ต.อ.โกวิทย์ วัฒนะ แม้กระทั่งพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีเว้น

พฤติกรรมของนายสนธิ ลิ้มทองกุลตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เห็นในหลายๆเรื่องที่นายสนธิชี้นำแล้วเกิดเป็นความจริงเกือบทุกเรื่องในภายหลัง อันเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าจะต้องเป็นร่างทรงของ “พลังอำนาจที่ทรงอิทธิพล” ของใครคนหนึ่ง ดังนั้นการที่นายสนธิออกมาส่งสัญญาณให้มีการต่ออายุ คตส.หรือสตง. ตลอดจนให้คณะคมช.คงอำนาจไปอีกอย่างน้อยสองปีถึงให้มีการเลือกตั้ง และให้มีการ ปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านเผด็จการ จึงไม่อาจมองข้ามได้อย่างเด็ดขาด เพราะมันสอดประสานกับหัวหน้าโจรที่มีชื่อเดียวกันออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและอารมณ์ดีผ่านทางโทรทัศน์ไปสู่สายตาประชาชนไทยทั้งประเทศว่า “อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองก็ต้องทำ” ในกรณีผู้สื่อข่าวขอคำยืนยันว่าจะไม่สืบทอดอำนาจ การตอบคำถามแบบแบ่งรับแบ่งสู้ อันเป็นการแสดงถึงความขี้ขลาดตาขาวเพราะความกังวลถึงคราวที่ต้องลงจากอำนาจเมื่อต้องเกษียณอายุราชการในเดือนกันยาที่จะถึงนี้ ดังนั้น“อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองก็ต้องทำ” จึง เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะหาช่องทางสืบทอดอำนาจนั่นเอง

การร่วมกันโค่นล้มรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เป็นการรวมตัวกันจากกลุ่มคนหลายสาขาอาชีพที่อยู่ภายใต้การชักนำของเปรมที่ผมเรียกว่าระบอบ “เปรมาธิปไตย” นั้น ท่านผู้อ่านคงไม่อาจสรุปอยู่แค่ว่า การยึดอำนาจในครั้งนี้เป็นเพียงทำลายระบอบประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนที่ผ่านมาในอดีต “หากแต่มีสิ่งบ่งบอกว่ามัน เป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจอย่างชัดเจน” เพราะการที่เปรมนำคณะรัฐประหารบุก เข้าไปในเขตพระราชฐานในยามวิกาลเช่นนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเข้าเฝ้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างปรกติธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนพระองค์ท่านยัง ทรงอยู่ในชุดบรรทมที่ห้อมล้อมไปด้วยคณะนายทหารที่มีหน้าตาขึงขัง จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าภายในเขตพระราชฐานจะไม่ถูกห้อมล้อมไปด้วยกำลังพลและอาวุธ

เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงมีคำถามฝากมายังพี่น้องประชาชนให้ช่วยตรวจสอบด้วยว่า ถ้าหาก การยึดอำนาจในครั้งนี้มีความชอบธรรมดังที่กล่าวอ้าง เหตุใดจึงไม่มีพระบรมราชโอง การโปรดเกล้าแต่งตั้งพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และหรือหากมีดังที่กล่าวอ้างเหตุใดจึงไม่มีการแพร่ภาพพล.อ.สนธิ รับสนองพระบรมราชโองการดังเช่นพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรัฐประหารฯ (รสช.) และหัวหน้าคณะปฏิวัติรายอื่นๆในอดีตที่ผ่านมา และใช่แต่เพียงเท่านี้ แม้ภายหลังการยึดอำนาจได้สำเร็จ ก็ไม่เคยเห็นพล.อ.สนธิเข้าเฝ้าถวายรายงานสถานการณ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ แต่กลับเข้ารายงานตรงต่อเปรมที่บ้านสี่เสาฯเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙

ความคลุมเคลือดังที่ได้กล่าวข้างต้นไม่เพียงแต่ผมและคนไทยทั่วไปที่พำนักอยู่ต่างแดน จะตั้งข้อสงสัย คนไทยที่มีใจรักชาติรักความยุติธรรมต่างก็มีความคับข้องใจ แทนที่ผู้มีอำนาจจะชี้แจงหรือแก้ไขปัญหาให้เป็นที่กระจ่าง กลับเบื่ยงเบนด้วยการยกข้อกล่าวหาที่เคยยัดเยียดความผิดให้กับผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้ว มาเป็นประเด็นข่าวสำคัญเพื่อกลบเกลื่อนความไม่ชอบมาพากลของตัวเองและพวกพ้อง และก็ดูเหมือนจะได้ผล ได้ผลเพราะมีคนหลงเชื่อ ได้ผลเพราะผู้กล่าวหาสามารถลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบและสารพัดข้อกล่าวหาทั้งหมดก็ไม่ต้องมีการพิสูจน์ แม้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรไม่มีโอกาสได้พูดพิสูจน์ความจริง เพราะพูดทีไร นอกจากลูกเมียที่อยู่เมืองไทยจะต้องบอบช้ำยิ่งขึ้นแล้ว ยังจะโดนข้อกล่าวหาว่าไม่ยอมหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมืองให้เป็นจำเลยต่อสังคมอีกต่างหาก

จึงอย่าได้แปลกใจที่รายการยามเฝ้าแผ่นดินในเครือข่ายแอ้มสนธิทีวี (ASTV) จึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้อง เพราะนายสนธิ ลิ้มทองกุลมันผู้ขายชาติตนนี้ทำหน้าที่รับใช้ทหารโจรด้วยการเป็นกระบอกเสียงในการทำลายล้างคนดี ที่มีประสิทธิ์ภาพสูงยิ่ง ในขณะที่สื่ออื่นๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ ทีวี หรือวิทยุ แม้แต่เว็บที่พอจะเป็นช่องทางเล็กๆอันเปรียบเสมือนลมหายใจที่เป็นแหล่งแสดงความคิดเห็นก็เป็นเรื่องต้องห้าม ผมว่าปัญญาชนและคนที่มีใจรักความเป็นธรรมทุกคนคงจะมีคำตอบได้ว่า ในสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่อีกหรือ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายเขาอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียวและมีการเลือกปฏิบัติอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

การที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการโดยใช้เครือข่ายต่างๆมุ่งกล่าวร้ายโจมตีเพื่อทำลายล้าง ไม่ว่าจะเป็น “รายการพันธมิตรฯ”หรือ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” คนแล้วคนเล่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคุณทักษิณ หรือรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ เหตุใดจึงไม่เข้าข่ายท้าทายอำนาจรัฐ นายสนธิคงไม่สามารถเป็นอภิสิทธิ์ชนได้ หากคนที่หนุนหลังไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจเหนือรัฐที่มีชื่อว่าเปรม แล้วคนที่นายสนธิล้มล้างทุกคนต่างก็ล้วนเป็นบุคคลสำคัญทั้งสิ้น และบุคคลเหล่านี้ต่างล้วนมีที่มาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโอง การโปรดเกล้าฯ ไม่ว่าจะเป็นม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ พล.ต.อ.โกวิทย์ วัฒนะ แต่ก็ต้องหลุด กระเด็นออกจากตำแหน่งตามลมปากของนายสนธิ

การที่ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่บ้านสี่เสาฯไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือนายทหารตลอดจนนักธุรกิจ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเปรมมีอิทธิพลบารมีเหนือรัฐมาตลอดทุกรัฐบาล การที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเข้ารายงานเหตุการณ์บ้านเมืองต่อเปรมหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจ แทนที่จะถวายรายงานตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสำคัญของเปรมเป็นอย่างดี และแม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องเปรมอีกเช่นกันในการกำหนดตัวบุคคล การที่พล.อ.สนธิเข้าพบเปรมเป็นระยะๆภายหลังการรัฐประหาร เป็นรูปธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธอย่างแน่นอนว่าเปรมไม่ได้มีส่วนรู้เห็นการทำรัฐประหารในครั้งนี้

ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ให้มีการรวบรวมรายชื่อเพื่อให้ถอดถอนเปรม เปรมไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เพราะรังแต่จะทำให้สถาบันฯอันเป็นที่เคารพและสักการะของปวงชนชาวไทยต้องมีอันมัวหมอง เนื่องจากเปรมใช้ตำแหน่ง หน้าที่ในการแสวงหาอำนาจจนเกินขอบเขตแห่งความพอดี มีการแทรกแซงหน่วยงาน แห่งรัฐในเกือบทุกองค์กร โดยไม่เคารพกติกาและกฏหมายบ้านเมือง มีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อการทำลายล้าง ผมอยากให้มีการสืบค้นหาความจริงในกรณีที่เปรมและ คณะรัฐประหารบุกรุกเขตพระราชฐานในยามวิกาลว่าได้ผ่านขั้นตอนในการปฏิบัติหรือไม่ และมีการนำกำลังพลพร้อมอาวุธเข้าเขตพระราชฐานเพื่อทำการคุกคามเมื่อตอนเข้าเฝ้าหรือไม่อย่างไร ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งผมย่อมมีสิทธิที่จะสามารถถาม ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและองค์รัชทายาท

ที่ผ่านมาเปรมและสมัครพรรคพวกมักจะอ้างว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรเป็นต้นเหตุแห่ง ความขัดแย้งและแตกแยก บัดนี้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสาเหตุแห่งความแตกแยกที่แท้จริงนั้นก็มีที่มาจากเปรม และสมัครพรรคพวกนี่แหละ ที่เที่ยวบิดเบือนและใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดให้กับคุณทักษิณและครอบครัวโดยปราศจากความเป็นธรรม ซึ่งบัดนี้เป็นเวลากว่าเจ็ดเดือนแล้วที่บริหารโดยคนที่เปรมเป็นผู้เลือกสรร แต่ความผิดที่เคยใส่ร้ายเขามาโดยตลอดก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริงตามที่ได้กล่าวหา

ถ้าหากเปรมรักชาติรักแผ่นดินและมีความจงรักภักดีฯจริงตามที่กล่าวอ้างมาโดยตลอด ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ในขณะนี้เปรมต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกสถานเดียวก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย แล้วพวกที่เป็นลูกสมุนของเปรมทั้งหลายก็อย่าได้พยายามบิด เบือนนะครับว่าตำแหน่งองคมนตรีนั้นต้องอยู่ไปจนตายไม่สามารถลาออกได้ เพราะมันมีตัวอย่างอย่างน้อยสองคนที่เคยลาออกจากตำแหน่งนี้ นั่นก็คือ ฯพณฯท่านศ.อาจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ที่ลาออกไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลา นนท์ ที่ลาออกมามาดๆเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

หากรักชาติและรักสถาบันพระมหากษัตริย์สมควรที่คนไทยทุกคน ต้องช่วยกันตรวจ สอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานแห่งรัฐทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจตลอดจนข้าราชการ พลเรือนที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนต้องช่วยกันร่วมมือในการปกป้องชาติและพระราชบัลลังก์อย่างถึงที่สุด “แม้จะต้องสู้จนเป็นคนสุดท้ายก็ต้องลองดู”

No comments:

Post a Comment