Monday, April 19, 2010

เอเชียไทม์: ประเทศไทยหมกมุ่นอยู่แต่เรื่อง “กึ่งรัฐประหาร”

Thailand mulls a ‘half coup’
By Shawn W Crispin
April 17, 2010
ที่มา – Asia Times
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

-----------------------------------------------------------------

กรุงเทพ – เมื่อมือสังหารในชุดดำสอยร่างหนึ่งในผู้บังคับการระดับสูง และอีกสองนายถึงกับพิการ ในการปะทะกันช่วงต้นๆเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ระหว่างกองกำลังทหารไทย และผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเสื้อแดง การโจมตีที่แม่นยำไม่ต่างกับกลยุทธ์ทางการเมือง

นักวิเคราะห์ และนักการทูตต่างเชื่อว่าการโจมตีแบบจู่โจมเป็นการสลายขั้วการบัญชาการของทหารอย่างชะงัด ลดความหายนะอย่างใหญ่หลวงที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้ อย่างได้ผล ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างน้อย ๒๔ ศพ – รวมถึงชีวิตนายทหารอีก ๕ ศพ – และได้รับบาดเจ็บมากกว่า ๘๐๐ คน ส่วนใหญ่มาจากแผลโดนยิง และแผลจากสะเก็ดระเบิด

ที่สำคัญคือ นายทหารสามนายที่ตกเป็นเป้านั้น เป็นตัวกลั่นซึ่งจ่อคิวรอที่จะได้รับการเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งใหญ่ในการโยกย้ายตำแหน่งนายทหารในปีนี้ และทั้งสามได้ชื่อว่าเป็นนายทหารที่จงรักภักดีอย่างสุดลิ่มต่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกซึ่งมีทีท่าว่าจะเข้าเสียบแทน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดาผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีกำหนดจะเกษียณราชการในไม่ช้าของปีนี้

นักวิเคราะห์คาดว่า จากสภาพการโจมตีเป้าหมายที่ละเอียดอ่อนนี้ รวมไปถึงหน่วยแม่นปืนใช้แสงเลเซอร์ และแผนการ และขั้นตอนลับสุดยอดของกองทัพที่รั่วไหล อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องของกองทัพเอง ทางการได้อ้างว่าความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝีมือของ “ผู้ก่อการร้าย” แทนที่จะเป็นการปฏิบัติการของบรรดานายทหารอันธพาล

รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกล่าวว่า ทหารที่ถูกสั่งมาปราบนั้นจะใช้กระสุนจริงก็ต่อเมื่อเป็นการป้องกันตัวเอง หลังจากพวกเขาถูกโจมตีอย่างไม่คาดคิด กลุ่มประท้วง นปช. อ้างว่า ผู้สนับสนุนของเขาทุกคนปราศจากอาวุธ ปฏิกิริยาจากต่างประเทศที่มีต่อการสังหารโหดนี้ยังคงได้แต่จับตามอง เนื่องจากรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงนั้นยังคงไม่แน่ชัด

นปช. เริ่มการประท้วงในกลางเดือนมีนาคม สองอาทิตย์หลังจากคำสั่งจากศาลอาญาฯ ยึดทรัพย์จำนวน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรซึ่งอยู่ในระหว่างการลี้ภัยด้วยข้อหาใช้อำนาจในทางมิชอบ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเขาถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อในปี ๒๕๔๙ และกลุ่ม นปช. เริ่มขับเคลื่อนมวลชนชาวรากหญ้าที่ยังคงนิยมทักษิณอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะจากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคนกรุงเทพซึ่งเป็นเฉพาะชนชั้นล่าง และสันนิษฐานว่าได้รับเงินสนับสนุนจากทักษิณ

ในเดือนเมษายน ๒๕๕๒ ทักษิณเรียกร้องผ่านทางวิดีโอลิ้งค์ให้กลุ่มสนับสนุน นปช. เริ่มดำเนินการ “ปฏิวัติทางสังคม” ต่อต้านรัฐบาล การต่อสู้เรียกร้องกลายเป็นชนวนให้เกิดจลาจลในเมืองหลวง ซึ่งฝ่ายกองทัพระดมกำลังออกมาปราบปรามอย่างมืออาชีพ ทักษิณกล่าวกับสื่อต่างชาติในขณะที่บรรดาทหารสังหารฝ่ายสนับสนุนของเขาจำนวนนับไม่ถ้วน และแอบลากศพออกไป – เป็นการอ้างซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด

ก่อนที่จะเกิดความรุนแรงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ในระหว่างที่มีการเริ่มต้นการประท้วงของกลุ่ม นปช. ทั้งสถานที่ราชการ ค่ายทหารต่างๆ และสำนักงานเอกชนต่างตกเป็นเป้าระเบิดลึกลับซึ่งแกนนำ นปช. อ้างว่า เป็นการกระทำของกองทัพเพื่อลดความน่าเชื่อถือของการประท้วงที่พวกเขาประกาศอ้างว่า เป็นไปอย่างสันติ

นักการทูตบางคนที่เฝ้ามองสถานการณ์รู้สึกว่า การระเบิดดังกล่าวจะสอดคล้องไปกับการเคลื่อนไหวการประท้วง และดูเหมือนจะมีเป้าหมายเพื่อยั่วยุให้ฝ่ายกองกำลังความมั่นคง เข้าปราบปราบผู้ร่วมชุมนุมที่ปราศจากอาวุธของกลุ่ม นปช.

นักการทูตยังตั้งข้อสังเกตว่า การตอบโต้จากกองทัพ จะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพเข้าทางทักษิณ ในการเรียกร้องให้มีการพระราชทานอภัยโทษ และป้องกันไม่ให้การกระทำของกองกำลังความมั่นคงสังหารผู้ประท้วงอย่างถูกกฎหมาย และทำให้เขาพ้นผิดจากคำตัดสินของศาล รวมถึงผลการตัดสินในคดีอาญาต่อการทุจริตในปี ๒๕๕๑ ที่เขาถูกตัดสินจำคุกสองปี ส่งผลให้ทักษิณ – ต้องลี้ภัย – ก่อนคำวินิจฉัยของศาล

ความเงียบของราชวงศ์

อย่างไรก็ดี ทางพระราชวังยังคงนิ่งเงียบสนิทกับการไว้อาลัยในเหตุการณ์รุนแรงวันที่ ๑๐ เมษายน และไม่มีทีท่าจะมีการพระราชทานอภัยโทษในเร็ววันนี้ แม้ว่าทางแกนนำร่วม นปช.ได้เคยเรียกร้องให้กษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชทรงเข้ามาแทรกแซงวิกฤติครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน ราชินีสิริกิติ์ทรงปรากฏพระองค์อย่างมีนัยยะในการเสด็จฯพิธีศพ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ผู้บัญชาการซึ่งถูกสังหารในเหตุการณ์ ๑๐ เมษายน อดีตทหารราชองครักษ์ และทรงเสด็จฯเยี่ยมทหารบาดเจ็บที่โรงพยาบาล

ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์และแกนนำ นปช. ต่างกล่าวหาและแก้ต่างกันเป็นพัลวัลว่า ใครจะต้องรับผิดชอบหลักในเหตุการณ์มรณะ และการทำลายล้าง ๑๐ เมษายน การขยับตัวของกองทัพขั้นต่อมาจะเป็นตัวตัดสินในวิถีทางการเมืองของประเทศ แหล่งข่าวจากวงในพระราชวังกล่าวกับเอเชียไทม์ออนไลน์ว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายทหารระดับสูงกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างการออกมากระทำการ “กึ่งรัฐประหาร” เพื่อกุมอำนาจพรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ในทางการเมือง พร้อมกับการปลดนายทหารบางคนออกจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชา

ทางด้านอนุพงษ์ยังคงยืนกรานว่า นักการเมืองต้องหาทางออกด้วยการเมืองในวิกฤติเช่นนี้ และเมื่ออาทิตย์นี้ได้ช่วยสนับสนุนให้มีการยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน และมีโอกาสเป็นไปได้ที่ ศึกวงในของกองทัพโดยการเปลี่ยนให้ประยุทธ์ขึ้นแท่นแทนอนุพงษ์ ล้างบางนายทหารที่ถูกมองว่าเป็นสายทางทักษิณ และพวกที่โอนเอียงไปทาง นปช. และการประกาศกฎอัยการศึกเพื่อควบคุม นปช.

เชื่อกันว่า อนุพงษ์สูญเสียแรงสนับสนุนอย่างมากจากนายทหารระดับสูง และกลุ่มพระราชวัง หลังผลงานด้านความมั่นคงในวันเสาร์ที่ล้มเหลว โดยเฉพาะ การวิจารณ์ว่า อนุพงษ์ไม่ยอมปราบ นปช. เร็วกว่านี้ และรุนแรงกว่านี้ รวมไปถึงเหตุการณ์เมื่อผู้ชุมนุมทิ้งฐานที่มั่นเพื่อไปร่วมการชุมนุมรอบๆพื้นที่กรุงเทพ

นักการทูตคนหนึ่งซึ่งประจำการอยู่ที่กรุงเทพตั้งคำถามว่า “อนุพงษ์จะอยู่ได้นานแค่ไหน” “อนุพงษ์กลายเป็นเพียง ผบ.ทบ.ใบ้ ผู้ซึ่งไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการขั้นเด็ดขาดใดๆ ขณะนี้บางคนมองว่า การแข็งขืนครั้งล่าสุดของอนุพงษ์ถือว่า เป็นส่วนหนึ่งที่อนุพงษ์ต้องรับผิดชอบ” ผู้ร่วมพิธีศพของหนึ่งในนายทหารระดับผู้บัญชาการซึ่งเสียชีวิตเมื่ออาทิตย์นี้กล่าวว่า นายทหารระดับสูงกำลังชิ่ง และเย็นชากับอนุพงษ์

การล้างบางของกองทัพซึ่งนำโดยประยุทธ์ ตั้งเป้าเพื่อโยกย้ายนายทหารระดับสูงที่เข้าใจว่าปล่อยข้อมูลลับเฉพาะให้กับทักษิณ และนปช. โดยเฉพาะ คำถามที่ผุดขึ้นมาเรื่องที่อาจจะเป็นฝีมือของหน่วยทหารพราน เห็นได้จากการปฏิบัติการแบบจู่โจมเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ในแบบเล็งหัวตัวบัญชาการภาคพื้นดินของกองทัพ

กองกำลังไม่ทราบฝ่าย

นักวิเคราะห์ และนักการทูตกล่าวว่ากำลังทหารพรานนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยของกองทัพไทยที่มีศักยภาพ และได้รับการฝึกฝนเพื่อปฏิบัติภารกิจของกองทัพขั้นละเอียดอ่อนให้บรรลุตามเป้าหมาย ทหารพรานบางนายได้เปิดตัวสนับสนุน นปช. และเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้ได้ขึ้นเวทีร้องเพลงร่วมกับผู้ประท้วง นปช. ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นคนแรกที่ก่อตั้งหน่วยทหารพรานเพื่อเป็นกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์ในปี ๒๕๒๑ จากอย่างน้อยหนึ่งในวิชาการศึกษากล่าวว่า ชวลิตด้วยตำแหน่งพลเรือนยังคงมีอิทธิพลเหนือกลุ่มศักดินา และในอดีตยังเคยย้ายตัวนายทหารเพื่อผลทางการเมืองมาก่อน หน่วยทหารพรานอาจจะเป็นหน่วยที่ได้รับความเชื่อถือน้อยที่สุดของกองทัพ มีธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งปล่อยให้ทหารเข้าออกโดยปราศจากคำถามจากค่ายในจังหวัดโคราช

ข้าราชการคนหนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้เป็นการพิสูจน์อย่างเงียบๆถึงความสัมพันธ์ระหว่างชวลิต และทหารพราน ชวลิตในเวลานี้มีฐานะเป็นประธานพรรคเพื่อไทยฝ่ายสนับสนุนทักษิณ และมีข่าวว่าจะเป็นตัวแทนเข้าแข่งขันตำแหน่งนายกฯในการเลือกตั้งครั้งหน้า ชวลิตประกาศต่อสาธารณะว่า อภิสิทธิ์ควรออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์มรณะเมื่อ ๑๐ เมษายน

บุคคลวงในคนอื่นๆเชื่อว่า กองบัญชาการทหารสูงสุดมีบทบาทในการปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลไปถึงหู นปช. และจากหน่วยงานของรัฐบาล กอ.รมน. ซึ่งรวมถึงรายละเอียดของแผนลับและรูปแบบที่จะใช้ปราบ นปช. พวกเขาให้ข้อสังเกตว่า พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แสดงการคัดค้านในการประชุมระดับสูงต่อการวางยุทธวิธีเพื่อปราบปราม นปช.

ข้าราชการคนหนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้เรื่องกำลังอยู่ใน “ระหว่างการสืบสวนภายใน” เราไม่สามารถติดต่อทรงกิตติในเรื่องนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความขัดแย้งภายในกองทัพจะรุนแรงถึงขั้นไหน จากการสำรวจของบรรดานักวิเคราะห์ด้านการทหาร และผู้สังเกตการณ์เมื่อไม่นานมานี้มีว่า ตั้งแต่การทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ อนุพงษ์ได้รวมอำนาจอย่างต่อเนื่องโดยการสลับเปลี่ยน และลดบทบาทของนายทหารในตำแหน่งระดับสูงของกองทัพ โดยการกำจัดฝ่ายสนับสนุนทักษิณที่ยังตกค้างอยู่

แหล่งข่าววงในจากกองทัพบางคน รวมถึง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง และกุนซือเบื้องหลังการทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั้นยังแสดงให้นักการทูตต่างๆเห็นว่า ฝ่ายสนับสนุนทักษิณยังคงแข็งแกร่งในกองทัพระดับสูง ในเวลานี้บางคนเชื่อว่าทักษิณได้ประโยชน์จากความไม่พอใจที่กำลังก่อตัวขึ้นมา จากการเลื่อนตำแหน่งข้ามหน้าข้ามตาโดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ ของอดีตนายทหารเสือราชินีรวมถึงอนุพงษ์ และประยุทธ์

นั่นอาจเป็นการอธิบายในบางส่วนว่าทำไมอนุพงษ์ และประยุทธ์จึงต้องพึ่งพวกที่แน่ใจว่ามีความภักดีจากนอกเขตกรุงเทพ รวมถึงจากกองพลทหารราบที่ ๒ จังหวัดปราจีนบุรี เข้ามามีบทบาทในการเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติการปราบผู้ชุมนุมในวันเสาร์ที่แล้ว แหล่งข่าววงในกองทัพคนหนึ่งกล่าวว่า “ประเด็นความหวาดระแวง” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจที่จะให้เก็บกำลังจากกองพลทหารราบที่ ๑ ในกรุงเทพไว้เพียงแค่ปฏิบัติการวงนอก และให้กองพลทหารม้าที่ ๑ และที่ ๔ อยู่ประจำการในค่าย และไม่ใช้กำลังของหน่วยปฏิบัติการรบพิเศษ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า กำลังไม่พอใจนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ เมื่อผู้นำถูกอนุพงษ์กีดกันออกไปหลังจากมีบทบาทสำคัญในการทำรัฐประหารปล้นอำนาจจากทักษิณ

เป็นเรื่องที่คลุมเครือว่า บรรดานายทหารระดับสูงจะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไรต่อคำสั่งของประยุทธ์ที่ให้ยุติการบัญชาการ แม้แหล่งข่าวจากกองทัพคนหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า การปฏิบัติการอย่างบ้าคลั่งใดๆเพื่อปลดอำนาจของนายทหารระดับสูงเพื่อให้มองเห็นว่าเป็นการประนีประนอมนั้น อาจจะเป็นชนวนให้เกิด “สงครามกลางเมือง” บางคนเชื่อว่า การลอบวางระเบิดลึกลับที่เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งจ่ายไฟให้กับกรุงเทพเมื่ออาทิตย์นี้ จะเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้ประยุทธ์ได้รู้ว่า ถ้าคิดจะทำปฏิวัติภายในกองทัพ จะต้องพบกับการตอบโต้อย่างรุนแรง และมีโอกาสที่จะหมดอำนาจได้

นักการทูตคนหนึ่งสังเกตว่า นายทหารระดับสูงจะเปิดเผยให้ประชาชนได้ทราบ “รายชื่อ และความอัปยศ” ของนายทหารซึ่งมีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาที่พิสูจน์ได้ว่า เป็นผู้ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล หรือมีส่วนรวมในการปฏิบัติการซึ่งสร้างอันตราย และคร่าชีวิตนายทหารอื่นๆ แทนที่จะมาทำการรัฐประหารอีกครั้ง นักการทูตแสดงความวิตกว่า กองทัพอาจจะชะล่าใจให้มีการปฏิบัติการที่รุนแรงยิ่งขึ้น จากปฏิกิริยาอย่างเมินเฉยที่ได้รับจากในประเทศ และจากนานาชาติในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

เป็นที่ทราบกันว่า ค่ายของประยุทธ์นั้นกำลังคลุ้มคลั่งจัด หลังจากนายทหารรักษาพระองค์ราชินีซึ่งกำลังจ่อคิวขึ้นมาเป็นตัวคุมอำนาจบังคับบัญชาการ ได้ตกเป็นเป้า ถูกสังหารและพิกลพิการ จากการโจมตีในแบบฉบับของกองทัพ

จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า กองทัพภายใต้การนำของประยุทธ์จะยอมรับให้มีการเลือกตั้งในอนาคต ซึ่งจะมีชวลิตดำรงตำแหน่งนายกฯ และเป็นเสมือนตัวแทนของทักษิณเข้ามามีอิทธิพลในการวางนโยบาย และการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งในกองทัพ

และแม้แต่ “กึ่งรัฐประหาร” ก็ถือได้ว่าไม่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างยิ่ง และจะเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยล่มสลายลงได้

-------------------------------------------------------------

ที่มา http://liberalthai.wordpress.com/2010/04/19/thailand-mulls-a-half-coup/

No comments:

Post a Comment